WHAUP แย้มจ่อปิดดีลJV โครงการในประเทศเร็วๆนี้

ผู้ชมทั้งหมด 800 

“ดับบลิวเอชเอยูพี” ลุยศึกษาแผน M&A หลายโครงการในต่างประเทศ ต่อยอดการเติบโตธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ 5ปี จ่อปิดดีล JV โครงการในประเทศเร็วๆนี้ หวังหนุนรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติแตะระดับ 6,000 ล้านบาทในปี 2569 รักษา EBITDA Margin ให้อยู่ที่ระดับไม่น้อยกว่า 50% คาดผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้ดีต่อเนื่อง

นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (“WHAUP”) เปิดเผยว่า บริษัท อยู่ระหว่างศึกษาแผนควบรวมและซื้อกิจการ(M&A) โครงการในต่างประเทศหลายโครงการ ซึ่งอาจจะมีต้นทุนสูงขึ้น แต่จะต้องเกิดประโยชน์และตอบโจทย์กลยุทธ์การเติบโตตามแผน 5 ปีของบริษัท ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาแผนร่วมลงทุน(JV) โครงการในประเทศ ซึ่งคาดหวังว่า จะสามารถปิดดีลได้ในเร็วๆนี้  

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นเดินหน้า-ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นผู้ให้บริการ Smart Utilities and Green Power Solution สอดรับแผนกลยุทธ์การแสวงหาโอกาสการต่อยอดการลงทุนธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน โดยจะเน้นการพัฒนาโซลูชั่น สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค รวมถึงการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนใหม่ๆ โดยนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ที่จะเป็น technology company รวมถึงจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและอัตราการเติบโตในระยะยาวตามเป้าหมายที่ WHAUP วางไว้ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2569 บริษัทฯจะมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติแตะระดับ 6,000 ล้านบาท ภายใต้การยังคงรักษาระดับอัตราผลกำไร EBITDA ในระดับสูงกว่าร้อยละ 50 จากการเติบโตของธุรกิจหลักทั้งน้ำและไฟฟ้า จากการขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าสูงอาทิ น้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water)  โดยจะมีการหาสินค้า และบริการ ใหม่ๆ มาตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการในรูปแบบ One-Stop-Service

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ วางเป้าหมายการให้บริการในธุรกิจ Green Power เพิ่มขึ้น จากที่ผ่านมา WHAUP มีการลงทุนธุรกิจให้บริการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) ซึ่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี อาทิ การติดตั้ง Solar Rooftop ให้กับบริษัท พรินซ์ เฉิงซาน ไทร์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังผลิตไฟฟ้า 19.44 เมกะวัตต์ ซึ่งนับว่าเป็นการติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจในการเป็นผู้ให้บริการในโครงการที่ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุน (M&A) ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโครงการประเภท Green Field โดยการนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศไปต่อยอดการลงทุนต่อไป

“ในประเทศ บริษัท ยังรอนโยบายของภาครัฐที่จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าทั้งจากโซลาร์ฯ และลม ซึ่งบริษัทได้ทำการศึกษาโอกาสการลงทุน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าร่วมโครงการของภาครัฐ”

นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ WHAUP กล่าวถึงการพัฒนาและดำเนินโครงการต่างๆ ผ่านการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจรทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงาน ธุรกิจสาธารณูปโภค  ในปีนี้ตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวม 153 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือเติบโต 13% จากปีก่อน ด้วยแนวโน้มการเติบโตของลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ผนวกกับการขยายฐานลูกค้าภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป โดยนอกจากจะจำหน่ายน้ำ Conventional ไม่ว่าจะเป็นน้ำดิบ หรือน้ำอุตสาหกรรมทั่วไปแล้ว WHAUP ยังเน้นไปที่การจำหน่ายน้ำประเภท Value-Added Product ไม่ว่าจะเป็นน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) และน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ที่ได้จากกระบวนการนำน้ำเสียมาบำบัด  ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็น Product ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาส 3 ปี 2565 นี้ จะมีการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับโรงผลิตน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง เพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าโรงไฟฟ้า SPP ของกลุ่ม GULF ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 1.4 ล้านลบ.ม. ต่อปี

ส่วนการเติบโตนอกนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอนั้น ในปีที่ผ่านมาได้มีการเซ็นสัญญาร่วมมือกับนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนสำหรับผลิตและจำหน่ายน้ำประเภท Value – Added Product  ให้กับลูกค้าที่เป็นโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยเฟสแรกที่มีกำลังการผลิตประมาณ 1 ล้านลบ.ม. ต่อปี คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2565 นี้ ทั้งนี้ นอกจากการลงทุนเพิ่มยอดจำหน่ายน้ำแล้ว WHAUP ยังมีการลงทุนในการจัดหาแหล่งน้ำดิบทางเลือกอื่นๆ  อาทิ การขุดอ่างเก็บน้ำเพิ่ม เพื่อลดการพึ่งพาการจัดซื้อน้ำดิบจากผู้จำหน่ายหลัก รวมถึงเป็นการลดต้นทุนในการจัดหาน้ำดิบด้วย โดยตั้งเป้าเพิ่ม capacity ของแหล่งน้ำดิบทางเลือกอีกอย่างน้อย 11 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี

ส่วนโครงการที่ประเทศเวียดนามนั้น ยังมีการขยายการลงทุนต่อเนื่องทั้งในส่วนของการลงทุนด้านสาธารณูปโภคในเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน เฟสที่ 2 ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาสที่1 ปี 2565 หลังจากเฟสที่ 1 พัฒนาแล้วเสร็จ และพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าภายในเขตอุตสาหกรรมเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เช่นเดียวกับโครงการประปา SDWTP และ Cua Lo ที่จะมีการลงทุนในส่วนของท่อเพิ่มเพื่อขยายการบริการแก่ลูกค้าเช่นกัน

ธุรกิจด้านพลังงาน  สำหรับเป้าหมายในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตรวมของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสะสมแตะ 150 เมกะวัตต์ ซึ่งในจำนวนสัญญารวมดังกล่าว คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในปีนี้ทั้งสิ้น 115 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือจะทยอย COD ในปีถัดไป 

ในด้านของนวัตกรรมและเทคโนโลยีนั้น  บริษัทฯ เดินหน้าเพื่อเตรียมการสู่อนาคตสำหรับธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อาทิการพัฒนาแพลตฟอร์มพลังงานอัจฉริยะ เพื่อซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกลุ่มลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ หรือ ระบบการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Peer-to-Peer Energy Trading ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร จาก บมจ.ปตท. “PTT” และ บริษัท เซอร์ทิส จำกัด “Sertis” เพื่อร่วมพัฒนาระบบ Trading Platform ภายใต้ชื่อว่า “RENEX” โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและอำนวยความสะดวกการซื้อขายพลังงาน ระหว่างผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งโครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ERC Sandbox หรือ โครงการทดลองด้านนวัตกรรมพลังงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายในการทดลองให้บริการซื้อขายเชิงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มขึ้นภายในไตรมาส 3/2565  ซึ่งระบบการซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้พอร์ตพลังงานหมุนเวียนของ “WHAUP” เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเป็น Clean Energy Trader ในโครงการทดลองนำร่องดังกล่าวจำนวนมากกว่า 23 ราย

บริษัทฯ ยังมีการนำ Battery Energy Storage System (BESS) หรือระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ควบคู่กับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อเสนอเป็นบริการให้แก่ลูกค้า รวมถึงการศึกษาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ Smart Microgrid เพื่อยกระดับระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ ในการต่อยอดธุรกิจ Renewable Energy และสร้าง Business Model ใหม่ให้กับบริษัทฯ และยังเป็นตัวแปรสำคัญทำให้ WHAUP นำพลังงานสะอาดมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งยังสร้างความมั่นคงให้กับระบบผลิตไฟฟ้าในอนาคตได้เป็นอย่างดี

นายประพนธ์ ชินอุดมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารการเงิน WHAUP กล่าวว่า ด้านสถานะการเงินของบริษัทมีความแข็งแกร่ง โดยบริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 5 ปี (2565 – 2569) ที่ 10,000 ล้านบาท โดยเป็นงบลงทุนสำหรับปี 2565 ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนในธุรกิจน้ำ และไฟฟ้า ประมาณอย่างละครึ่ง  โดยแหล่งเงินทุนดังกล่าวส่วนหนึ่งมาจากทั้งเงินกู้จากสถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้

โดยล่าสุด ในวันที่ 1 มิ.ย. 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้วงเงินรวม 2,800 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี แม้ว่าสถานการณ์ดอกเบี้ยในตลาดช่วงนี้จะค่อนข้างผันผวน โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) จำนวน 1,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออก Green Bond ครั้งแรกของบริษัทฯ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ที่จะดำเนินธุรกิจควบคู่ด้วยความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งมั่นสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยหุ้นกุ้ของบริษัทฯ ได้รับการประเมิน Rating จาก TRIS ที่ระดับ A- “stable”

นอกจากนี้ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.9 เท่า ต่ำกว่าเพดานที่เจ้าหนี้กำหนดไว้ที่ 2.5 เท่าค่อนข้างมาก ซึ่งนอกจากเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงินแล้วยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทที่สามารถกู้เงินเพิ่ม เพื่อรองรับการมองหาโอกาสในการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาโครงการใหม่ๆ (Green field) การเข้าซื้อกิจการ (M&A) การร่วมทุน (Joint Venture) การขยายการลงทุนในและนอกนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทั้งธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน เพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นในการเติบโตทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมโซลูชั่นทั้งด้านพลังงานทดแทนและสาธารณูปโภคเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว