TSE ลั่นพร้อมร่วมชิงประมูลโรงไฟฟ้า กกพ. รอบ 2 ตั้งเป้าคว้าเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 150 MW

ผู้ชมทั้งหมด 434 

TSE ประกาศความพร้อมเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้ากกพ.ล็อต 2 เพิ่ม หลังมีรายงานกกพ.ยืนยันดำเนินการตามขั้นตอน ด้านแม่ทัพหญิง “ดร. แคทลีน มาลีนนท์” ตั้งเป้าคว้ามาเพิ่มได้อีกไม่ต่ำกว่า 150 เมกะวัตต์ หนุนผลงานโตก้าวกระโดด ทุบสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง

จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยืนยันการเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว เฟส 2 ประมาณ 3,668 เมกะวัตต์ และการรับซื้อไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 30 เมกะวัตต์ ยังดำเนินการตามขั้นตอน และไม่ได้ชะลอโครงการเพื่อรอรัฐบาลใหม่แต่อย่างใด โดยเน้นขยายโควตาให้กลุ่มไม่ผ่านการคัดเลือกในเฟสแรกก่อน เผยมีกว่า  500 ราย รวมไฟฟ้ากว่า 12,547 เมกะวัตต์

ดร.แคทลีน มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TSE เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความพร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รอบ 2 ของกกพ.  โดยตั้งเป้าจะได้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ไม่ต่ำกว่า 150 เมกะวัตต์  ขณะที่ก่อนหน้านี้ ได้ลงนามในหนังสือบันทึกข้อตกลงรับทราบและยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed – in Tarif (FT) โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)  ปี 2565-2573 จำนวน 7 โครงการ กำลังผลิตขายไฟรวมกว่า 88.66  เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการขนาด SPP จำนวน 2 โครงการ, โครงการ VSPP จำนวน 4 โครงการ และโครงการโซลาร์+แบตเตอรี่ จำนวน 1 โครงการ

“เรายังคงดำเนินการตามแผนงานธุรกิจที่วางไว้ โดยได้เตรียมความพร้อมทั้งด้านเงินทุนและทีมงานในการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า กกพ. รอบ 2 ซึ่งหากทางกกพ.มีความชัดเจน หรือประกาศเปิดรับซื้อไฟฟ้าเฟส 2 ออกแล้ว เราก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการเข้าร่วมประมูลทันที”  ดร. แคทลีน กล่าว

ปัจจุบัน TSE มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในประเทศไทย รวมทั้งหมด 35 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 286.2 เมกะวัตต์ เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว (COD) แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าในประเทศ ขนาดกำลังการผลิตรวม 153.2 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิตรวม 133 เมกะวัตต์ ที่เพิ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นจะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยประเมินว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทฯได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท