ผู้ชมทั้งหมด 106
TDRI ส่งหนังสือถึง “รัฐมนตรีพลังงาน” แนะเร่งปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม ขณะที่แผนระยะยาว ควรเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีอย่างเป็นขั้นตอน หวังแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานของไทยอย่างยั่งยืน
น.ส. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ นโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวข้อเรื่องข้อเสนอในการปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมและแนวทางการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี พร้อมแนบข้อเสนอ 2 ชุด ให้ปฏิรูปค่าไฟฟ้าทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว
โดยเนื้อหาสำคัญระบุว่า การกรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับปรุงอัตราสนับสนุนเงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และเงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง (FiT) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าลดลงได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญเพื่อลดปัญหาค่าครองชีพประชาชน แต่ TDRI เห็นเพิ่มเติมว่าปัญหาค่าไฟฟ้าของไทยเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขระยะยาวผ่านแนวทางการปฏิรูปโครงสร้างค่าไฟฟ้า ควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดเป็นค่าความเสียโอกาสจากภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นจากการใช้พลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ แม้มาตรการลดค่าไฟฟ้าจะเป็นนโยบายที่เหมาะสมในระยะสั้น แต่ควรพิจารณาผลกระทบในระยะยาวต่อทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น ปัญหาสภาพคล่องของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งส่งผลต่อการลงทุนทางเทคโนโลยีในระยะยาวและต้นทุนของภาคประชาชนจากการแบกรับค่าความพร้อมจ่าย (AP) รวมถึงการหลีกเลี่ยงในการปรับพฤติกรรมหรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงาน ของภาคประชาชนและอุตสาหกรรม
นอกจากนั้นในระยะยาว ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการเปิดตลาดเสรีไฟฟ้าเพื่อเพิ่มปริมาณไฟฟ้าสะอาดให้ทันต่อความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างการแข่งขันในตลาดไฟฟ้า ซึ่งนำไปสู่ราคาที่เป็นธรรมในระยะยาว
ดังนั้น ทาง TDRI เห็นว่าการจัดการปัญหาราคาค่าไฟฟ้าระยะสั้นสามารถดำเนินการได้ทันที และการกำหนดนโยบายของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีในระยะยาว จะสร้างประโยชน์แก่ทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคมไทย
โดยข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ประกอบด้วย การปฏิรูปโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม ซึ่งควรเร่งให้มีการปฏิรูปโครงสร้างค่าไฟฟ้า เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าปัจจุบันได้สร้างภาระหนี้ผูกพันที่สามารถส่งผลต่อค่าไฟฟ้าสูงสุด 1.70 บาทต่อหน่วย ดังนั้น TDRI จึงเสนอแนวทางปฏิรูป ดังนี้
1.ควรกำหนดให้ “มาตรการกำหนดราคาก๊าซในระดับราคาของ Pool gas” เป็นมาตรการระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้ราคา Pool gas และต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลดลง พร้อมกำหนดให้ Energy Pool Price มีหลักคิดที่สะท้อนความต้องการใช้(อุปสงค์) และปริมาณที่พร้อมจำหน่าย (อุปทาน) ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปัจจุบันการคำนวณสะท้อนเพียงเรื่องของราคาและปริมาณการนำเข้าของผู้นำเข้าเท่านั้น ซึ่งไม่สะท้อนการแข่งขันด้านราคา
2.ควรพิจารณาการคิดค่าผ่านท่อและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ให้สะท้อนการใช้งานจริงในภาคการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน 3.ควรมีการแยกสินทรัพย์ทางบัญชีให้ชัดเจนสำหรับการใช้งาน LNG Terminal เพื่อไม่ให้ต้นทุนในการสร้าง LNG Terminal และต้นทุนในการแปรสภาพก๊าซที่ไม่ได้ใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้าสำหรับประชาชน ถูกส่งผ่านอย่างไม่เป็นธรรมในรูปค่าไฟฟ้า และ4. ควรมีการปรับหลักการคิดค่าความพร้อมจ่าย (AP) ที่เป็นรูปธรรม ด้วยการชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น และควรปรับรูปแบบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาว ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าร่วมรับผิดชอบต้นทุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า สำหรับโรงไฟฟ้าที่จำเป็นต้องการก่อสร้าง เช่น โรงไฟฟ้าที่ทดแทนโรงไฟฟ้าเก่าที่กำลังหมดอายุ เพื่อลดภาระค่าความพร้อมจ่ายของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ซึ่งจะเป็นการช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในท้ายที่สุด
และข้อเสนอมาตรการระยะยาว คือ เรื่องความเสี่ยงและแนวทางการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี โดย TDRI เห็นว่าหากภาครัฐไม่มีเป้าหมายเรื่องไฟฟ้าสะอาดและขาดกลไกการขับเคลื่อนอย่างตลาดไฟฟ้าเสรีที่ชัดเจนจะนำไปสู่ความเสี่ยง 3 มิติ ได้แก่ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น, การลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการสูญเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานโลก นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านสังคมที่ทำให้การจ้างงานลดลง ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการใช้พลังงานที่ไม่ยั่งยืน
ทั้งนี้ การเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีของไทย ควรมีเป้าหมายชัดเจน โดยทาง TDRI เสนอแนวทาง ดังนี้
ระยะแรก ปี พ.ศ. 2569-2573 ควรมุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และธุรกิจที่ต้องการพลังงานสะอาด เช่น กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ผ่านการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ระหว่างผู้ผลิตพลังงานสะอาดและผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 41% ของจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดในตลาดไฟฟ้าเสรี
ระยะที่สอง (ก่อนปี พ.ศ. 2580) ควรเพิ่มการเข้าถึงตลาดเสรีสำหรับกลุ่มผู้ใช้ในโรงงานและอาคารควบคุมขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงผู้ประกอบการในวิสาหกิจขนาดกลาง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 45%
ระยะที่สาม (ก่อนปี พ.ศ.2593) ควรเพิ่มกลุ่มกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งคิดเป็น 65% และหลังจากนั้นในระยะที่สี่ จึงครอบคลุมถึงภาคครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งทำให้เกิดตลาดไฟฟ้าเสรีในประเทศไทยครบทั้ง 100%
อย่างไรก็ตามการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและมาตรการส่งเสริมการแข่งขันที่ชัดเจน จะทำให้การบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานอย่างไฟฟ้าเกิดการแข่งขัน มีราคาที่เป็นธรรม พร้อมทั้งมีปริมาณพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามความต้องการของผู้ใช้ โดยการวางเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้ไทยก้าวสู่ระบบพลังงานที่ยั่งยืน