ผู้ชมทั้งหมด 973
“ซัสโก้” ตั้งงบลงทุนปี66 ราว 400-500 ล้านบาท เดินหน้าขยายปั๊มน้ำมัน-ปรับปรุงโฉมใหม่ ดันบริษัทลูก “ซัสโก้ บียอนด์” รุกธุรกิจใหม่เปิดโชว์รูมขายรถไฟฟ้าแบรนด์ “BYD” จ่อนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์จากจีนปล่อยเช่านักท่องเที่ยวนำร่องเกาะสมุย พร้อมจับมือกลุ่มบริษัท ไซโนเปค ลุยธุรกิจปั๊มน้ำมันและเชื้อเพลิง
เทรนด์การใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า(EV)” ที่มาแรงและเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้หลายสำนักฯ คาดการณ์ว่า ในช่วงราว 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจEV จะเป็นธุรกิจที่รุ่งเรือง เพื่อมาทดแทนการใช้พลังงานแบบดั้งเดิม หรือ เชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะจะทำให้โลกในอนาคตลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น
บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO ผู้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมันในประเทศไทย ที่มีมาร์เก็ตแชร์ เบอร์ 6 หรือ มีสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมันราว 2-3% ของความต้องการใช้น้ำมันทั้งประเทศ ได้เตรียมพร้อมก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ โดยจัดตั้งบริษัทลูก “บริษัท ซัสโก้ บียอนด์ จำกัด” ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินธุรกิจด้านรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ SUSCO เปิดเผยว่า ธุรกิจEV ถือเป็นธุรกิจใหม่ของ ซัสโก้ โดยจะดำเนินการผ่าน “ซัสโก้ บียอนด์” โดยได้ร่วมกับบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด (ค่ายเอกชนจีน) เปิดโชว์รูมจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า BYD แห่งแรกของบริษัท สาขาประตูน้ำพระอินทร์ เมื่อราวต้นเดือนมิ.ย.นี้ นับเป็นศูนย์บริการรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจรแห่งแรก และหลังจากนี้จะมีศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถัง เพื่อให้บริการครอบคลุมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และ สิงห์บุรี ซึ่งปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโชว์รูม 4-5 แห่ง และตามแผนของ เรเว่ ออโตโมทีฟ ต้องการเปิดโชว์รูมในไทยราว 100 แห่งในปีนี้ จากที่ปัจจุบันเปิดไปแล้วประมาณ 30 โชว์รูม โดยบริษัทมีแผนจะขยับการเปิดโชว์รูมจำหน่ายเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯให้มากขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นได้ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อให้ทันเปิดตัวรถ BYD รุ่นใหม่ในช่วงปลายปีนี้
ขณะเดียวกัน “ซัสโก้ บียอนด์” ยังมีความร่วมมือกับ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMR ลงนามในสัญญาร่วมทุนในนามบริษัท เอเอส มาชาร์จ จำกัด ดำเนินธุรกิจให้บริการเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ และศูนย์ซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยแผนงานในระยะแรกจะเริ่มต้นให้บริการในพื้นที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากเป็นเกาะที่มีชื่อเสียง มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก ซึ่ง SUSCO มีสถานีบริการน้ำมันอยู่จำนวน 4 แห่ง สามารถใช้เป็นจุดให้บริการแก่ลูกค้าได้
“ธุรกิจภายใต้ เอเอส มาชาร์จ เริ่มแรกยังใช้เงินลงทุนไม่มากราว 10 ล้านบาท จะเป็นการนำเข้ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจากจีน เข้ามา 40 คัน ราคาคันละกว่า 90,000 บาท พร้อมมีประกันภัยให้นักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว นับเป็นจุดแตกต่างจากรถเช่ารายอื่น โดยจะเปิดตัวโครงการวันที่ 3 ก.ค.นี้ ที่เกาะสมุย และหากโครงการได้รับการตอบรับที่ดี ก็จะขยายผลไปเพิ่มเติมและขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ เช่น ภูเก็ต ซึ่งในอนาคตคาดว่า เฟสต่อไป คาดว่า จะปล่อยเช่ารถถึง 300-400 คัน”
นอกจากนี้ บริษัท และกลุ่มบริษัท ไซโนเปค ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) จะร่วมลงทุนประกอบธุรกิจ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เบนซิน ดีเซล ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันอากาศยาน รวมถึงโอกาสในการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต โดยการร่วมทุนตามเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายหุ้นได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และ ดำเนินการรับชำระค่าหุ้นจำนวนประมาณ 34 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,175.18 ล้านบาท ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 โดยบริษัทร่วมทุนนี้ จะเริ่มดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2566 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท SUSCO เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2565 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการจำหน่ายหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิของบริษัทย่อยบริษัท ซัสโก้ ดีลเลอร์ส จำกัด (SDA) ให้แก่ Sinopec (Hong Kong) Limited (Sinopec) ในสัดส่วน 48% และ 1% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้ว รวมเป็น 49% ตามลำดับในราคา 34 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสิทธิออกเสียงร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายแล้ว
นายชัยฤทธิ์ กล่าวว่า การจำหน่ายหุ้น ซัสโก้ ดีลเลอร์ส ออกไปให้ ไซโนเปค แม้จะทำให้บริษัทสูเสียรายได้จากส่วนนี้ออกไป แต่ขณะเดียวกันก็จะมีรายได้จากการที่ ไซโนเปค จ้างบริษัทบริหารจัดการปั๊มน้ำมันภายใต้แบรนด์ไซโนเปค จำนวน 25 แห่ง ซึ่งในช่วง 1-2 ปีแรก จะทยอยเปลี่ยนแบรนด์จากซัสโก้ เป็นไซโนเปค ก็จะมีปั๊มในกรุงเทพฯไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่จะอยู่ต่างจังหวัด เบื้องต้นทางไซโนเปค มีแผนจะเปิดปั๊มน้ำมันในไทยประมาณ 100 แห่ง ภายใน 5 ปีที่เป็นลักษณะของการร่วมทุน แต่ปั๊มขนาดใหญ่จะดำเนินการโดยไซโนเปค เช่น ปั๊มตัวแรกที่จะดำเนินการปรับปรุงคือแถวถนนรัชดาฯ อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท ยังหวังขยายผลไปสู่การจำหน่ายน้ำมันเครื่องบิน(JET) ที่คาดว่าในอนาคตจะเติบโตเพิ่มขึ้นราว 60-70% ด้วย
ส่วนแผนขยายการเติบโตของบริษัทในปี 2566 ตั้งงบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท หรือ ปี 5 คาดว่าจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้กว่า 200 ล้านบาทจะใช้สำหรับเปิดปั๊มใหม่จำนวน 10 แห่ง ซึ่งปีนี้เปิดไปได้แล้ว 3 แห่ง เหลืออีก 7 แห่ง และงบประมาณปรับปรุงปั๊มโฉมใหม่กว่า 100 ล้านบาท จำนวน 30 แห่ง และที่เหลือก็จะใช้เปิดโชว์รูมจำหน่ายรถ BYD รวมถึงการลงทุนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปั๊ม เป็นต้น
ปัจจุบัน ซัสโก้ มีปั๊มน้ำมัน 260 แห่งทั่วประเทศ เป็นรูปแบบการบริหารสถานีบริการน้ำมันหลักๆ คือ COCO (Company Owned Company Operated) ราว 210 แห่ง ซึ่งในจำนวนนนี้เป็นการเข้าไปบริหารจัดการปั๊มภายใต้แบรนด์ เอสโซ่ 101 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ซึ่งมีสัญญาบริหาร 10 ปี ปัจจุบัน เหลืออายุสัญญาเฉลี่ย 7-9 ปี หลังจากเข้าไปดำเนินการมาแล้ว 3 ปี และเมื่อเอสโซ่ ขายกิจการไปให้กับกลุ่มบางจาก ก็ต้องรอว่าในอนาคตหลังจากหมดสัญญาแล้ว บริษัทจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป แต่การที่เอสโซ่ ไปจับมือกับบางจาก ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเท่ากับบริษัทได้มีความร่วมมือกับผู้ค้าน้ำมันฯ เบอร์ 2 ของประเทศ
“ณ สิ้นปีนี้ คาดว่า เราจะมีปั๊มน้ำมัน 270 แห่ง เดิมเรามีเป้า 300 แห่ง ตอนนี้คิดว่าไม่จำเป็นแล้ว แต่เรามาพัฒนาปั๊มแต่ละแห่งให้สร้างรายได้สูงสุดจะดีกว่า ก็พยายามหารายได้จาก non oil ให้มากขึ้น ตอนนี้ non oil รายได้เดือนละ 6-7 ล้านบาท ก็มีเป้าจะขยับเป็น 10-20 ล้านบาท ภายใน 3-5 ปี แม้จะน้อยเมื่อเทียบกับน้ำมันที่มียอดขายราวเดือนละ 3,000 ล้านบาท หรือปีละกว่า 30,000 ล้านบาท”
บริษัท คาดว่า ยอดขายน้ำมันปีนี้ จะอยู่ที่กว่า 1,000 ล้านลิตร จากที่บริษัททำยอดขายสูงสุดก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ที่ 1,300 ล้านลิตร ซึ่งยอดขายในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาก็ทำยอดขายสูงสุด ฉะนั้น คาดว่า ยอดขายทั้งปีนี้ จะเติบโตจากปี 2565 ที่ทำยอดขายสูงสุด(นิวไฮ) อยู่ที่ 33,000 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่กว่า 400 ล้านบาท โดยช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทสามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่กำไรปีนี้ ก็มั่นใจว่าจะเติบโตจากปีก่อน เพราะช่วง 5 เดือนของปีนี้ ก็มีกำไรโตกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว
“บริษัท ขอยืนยันว่า ไม่มีแผนขายกิจการทิ้ง ขณะเดียวกันยังจะเดินหน้าขยายการเติบโตต่อเนื่องทั้งการเปิดปั๊มใหม่ และปรับโฉมให้ทันสมัย รวมถึงเปลี่ยนทิศทางธุรกิจให้สอดรับเทรนด์ในอนาคตมากขึ้นด้วยการก้าวเข้าสู่ธุรกิจรถEV ทั้งการเปิดโชว์รูมขายรถBYD และการเช่ามอเตอร์ไซค์รถไฟฟ้า อีกทั้งยังมองหาการร่วมทุนธุรกิจอาหาร เพื่อเพิ่มกำไรให้ธุรกิจ non oil ในอนาคต”
ทั้งนี้ บริษัท จะขยายการลงทุนธุรกิจ non oil ด้วยการยกระดับสถานีบริการน้ำมัน ให้เป็น “คอมมูนิตี้มอลล์” แปลงพื้นที่ให้ตอบไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของผู้บริโภคมากขึ้น ภายใต้ชื่อ “SUSCO SQUARE” ซึ่งรวมปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านซักรีด ศูนย์บริการซ่อมรถยนต์ ไว้ครบในจุดเดียว โดยมีพันธมิตรเพิ่มขึ้น เช่น KFC, SUBWAY, D’Oro , ร้านสตาร์บัคส์ (Starbucks) และสุกี้ตี๋น้อย เป็นต้น โดย SUSCO SQUARE ดำเนินการไปแล้ว 2 แห่ง และมีแผนจะดำเนินการอีก 2 แห่งในปีนี้ ซึ่งแต่ละแห่งใช้งบลงทุนประมาณ 40-50 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการเข้าลงทุนธุรกิจอาหารอื่นๆ ขนาดไม่ใหญ่มาก เพิ่มเติมด้วย
นายชัยฤทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในปั๊มน้ำมันปัจจุบันดำเนินการไปแล้ว 20 แห่ง กำลังผลิตรวม 20 เมกะวัตต์ และในปีนี้จะก่อสร้างอีก 15 แห่ง รวมเป็น 35 แห่ง เพื่อขายไฟฟ้าให้กับร้านค้าในปั๊มและส่วนหนึ่งใช้เองภายในปั๊ม ซึ่งก็จะทำให้บริษัทมีรายได้จากส่วนนี้ และประหยัดค่าไฟฟ้าลง 10-20 % หรือ ธุรกิจนี้สามารถคืนทุนภายใน 3 ปี
ส่วนการที่บริษัท มีความร่วมมือกับเครือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EA Anywhere ในปั๊มน้ำมันซัสโก้ ปัจจุบัน ดำเนินการไปได้แล้ว 22 แห่ง ส่วนจะขยายเพิ่มเติมอย่างไรนั้น ยังขึ้นดูกับการพิจารณาความต้องใช้ของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสถานีให้บริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(NGV) ของบริษัท ปัจจุบันเหลืออยู่ 7 แห่ง ซึ่งปีนี้ปิดตัวไปแล้ว 3 แห่ง จากที่มีอยู่กว่า 10 แห่ง ซึ่งในส่วนที่เหลือคาดว่าจะทยอยปิดตัวลงตามการหมดสัญญาณของ ปตท. และอาจจะยังเหลือไว้ในส่วนที่อยู่ใกล้แนวท่อส่งก๊าซฯ ประมาณ 3-4 แห่ง