ผู้ชมทั้งหมด 1,438
SCGP ตั้งเป้าปี65 รายได้แตะ 140,000 ล้านบาท เหตุลุยขยายลงทุนต่อเนื่อง พร้อมรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการM&P ในปี64 ลั่นอัดงบ 20,000 ล้านบาทปีนี้ เพิ่มการเติบโตตามแผน 5 ปี หวังปิดดีล M&Pเพิ่ม ไม่ต่ำกว่า 2 โครงการ
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัท ตั้งเป้าหมายในปี 2565 จะมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 140,000 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้เต็มปีจากดีลที่ควบรวมกิจการในปีที่ผ่านมาและโครงการขยายกำลังการผลิตที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ อีกทั้งบริษัทฯ ได้วางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องภายใต้งบลงทุน 5 ปี ไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ทั้งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักของบริษัท เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มีรายได้จากการขายแตะระดับ 180,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
รวมถึง พิจารณาโอกาสขยายการลงทุนที่เหมาะสมในภูมิภาคอื่นๆ ขณะที่ EBITDA ปี2565 คาดว่าจะทำได้ดีขึ้นจากปี 2564 ที่มี EBITDA อยู่ที่ 21,150 ล้านบาท ซึ่งจะเติบโตขึ้นตามการขยายการลงทุนของบริษัท และรับรู้รายได้เต็มปีจาก M&P เมื่อปีที่ผ่านมา
“ในแต่ละปีจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 20,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดว่า จะใช้สำหรับการเข้าควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) ประมาณ 10,000 ล้านบาท คาดหวังจะปิดดีลไม่ต่ำกว่า 2 โครงการ และปัจจุบัน ก็มีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจา”
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจและการบริโภคในปี 2565 ประเมินว่า จะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด 19 ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายในอาเซียนและต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง และหนุนสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในสิ้นปีนี้ ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าสัดส่วนรายได้จากในประเทศ ส่วนค่าระวางเรือขนส่งจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยกดดันภาคการผลิตและการบริโภค รวมถึง ยังคงดำเนินธุรกิจโดยมีสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ที่ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 สามารถสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง โดยมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 124,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 8,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 21,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ขณะที่ตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าและอัตราค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง มาจากการบริหารโมเดลธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ การพัฒนาสินค้านวัตกรรมและการขยายพอร์ตสินค้าให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค รวมถึงการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบ Organic Expansion และ Merger and Partnership (M&P) และการวางแผนบริหารจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีรายได้จากการขาย 35,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวด 2,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 5,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Products) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ รวมถึงการรวมผลประกอบการของบริษัทที่ทำ M&P ได้แก่ Go-Pak, Duy Tan, Intan Group และ Deltalab
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการบริษัทเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีพิจารณาการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2564 ในอัตรา 0.65 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายใน 0.40 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 25 เมษายน 2565 ตามรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 7 เมษายน 2565 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือ วันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 5 เมษายน 2565