ผู้ชมทั้งหมด 72
SCG วางเป้ารายได้ปี 68 โต 3-5% EBITDA มากกว่า 5.4 หมื่นล้าน รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจกลุ่มอาเซียนแนวโน้มเติบโต รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบลงทุน รุกขยายตลาดอเมริกา พร้อมอัดงบลงทุนกว่า 3 หมื่นล้าน ใช้ลงทุนโครงการ LSP เล็งซื้อกิจการธุรกิจแพคเกจจิ้ง
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (เอสซีจี) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงาน และภาพรวมการดำเนินงานในปี 2568 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าภาพรวมรายได้ในปีนี้เติบโต 3-5% เทียบกับปีก่อน และตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จะไม่ต่ำกว่า 54,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยหลักที่จะช่วยหนุนการเติบโตในปี 2568 เนื่องจากรัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมากกว่าปีก่อน และการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ส่งผลให้มีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อในประเทศมากขึ้น
อีกปัจจัยที่คาดว่าจะสนับสนุนผลการดำเนินงานของ เอสซีจี ในปี 2568 คือราคาน้ำมันถูกคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากนโยบายด้านพลังงานของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ซึ่งหากราคาน้ำมันลดลงก็จะส่งต่อต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตของกลุ่ม เอสซีจี ลดลงด้วย
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนก็เริ่มเห็นทิศทางของการฟื้นตัวดีขึ้น อย่างประเทศเวียดนามก็คาดการณ์ว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศเวียดนาม (GDP) อยู่ที่ 8% อินโดนีเซียอยู่ที่ 6% ส่วนประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่า GDP จะขยายตัวเร่งขึ้น 3 – 3.5% ซึ่งการเติบโตของกลุ่มอาเซียนก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ขณะที่ความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังได้ดำเนินมาตรการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน การปรับโครงสร้างการดำเนินงาน และพิจารณาหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร เน้นลงทุนเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูง เพื่อรักษาสถานะทางการเงินให้มั่นคงและแข็งแกร่ง โดย เอสซีจี จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจากมาตรการที่กล่าวมาข้างต้นในปี 2567 ที่ผ่านมานั้นส่งผลให้บริษัทฯ ยังมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เอสซีจี ยังได้รุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ เร่งดันปูนคาร์บอนต่ำ คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน ด้าน เอสซีจี เดคคอร์ ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ เอสซีจีพี ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
“เอสซีจี ปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เชื่อมั่น ปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนได้ต่อเนื่อง” นายธรรมศักดิ์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีนั้น นายธรรมศักดิ์ กล่าวว่า ปี 2568 วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ซึ่งเชื่อว่าราคาปิโตรเคมีจะไม่ตกต่ำไปกว่าปี 2567 ส่วนการกลับมาเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ในประเทศเวียดนามนั้นต้องรอดูสถานการณ์ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ก่อนว่าทิศทางราคาปิโตรเคมีจะเป็นอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านั้น เอสซีจีมีกำหนดหยุดเดินเครื่องโครงการ LSP เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามล่าสุด เอสซีจีซี เร่งเดินหน้าโครงการ LSP ด้วยการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570 โดยโครงการนี้ใช้แหล่งเงินทุนภายในเอสซีจี
ปี 2568 อัดงบลงทุน 30,000 – 35,000 ล้านบาท
นางจันทนิดา สาริกะภูติ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินและการลงทุน กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ราว 30,000 – 35,000 ล้านบาท โดยในสัดส่วนนี้ราว 6,000 ล้านบาท ใช้ในการลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตโครงการ LSP ซึ่งการปรับปรุงกระบวนการผลิตนั้นจะช่วยให้โรงงาน LSP มีความยืดหยุ่นในการรับวัตถุดิบในการผลิตได้มากขึ้น โดยเฉพาะการรองรับวัตถุดิบที่เป็นก๊าซอีเทนได้มากถึงสองในสามของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด ชดเชยวัตถุดิบที่เป็นก๊าซโพรเพนและแนฟทาที่มีราคาสูงกว่าได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ต้นทุนต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับงบลงทุนในส่วนที่เหลือก็จะใช้ลงทุนในธุรกิจแพคเกจจิ้ง ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจจะลงทุนในรูปแบบการซื้อกิจการ (M&A) นอกจากนั่นก็จะเป็นการลงทุนซ่อมบำรุงโรงงานตามรอบ
ส่วนผลประกอบการปี 2567 นั้น เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี และเอสซีจีพี กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของ LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาคและกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน เมื่อปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน
ขณะที่ ไตรมาส 4/2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ขณะที่ไตรมาสก่อน มีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จากเอสซีจีซี
ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัทตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2568 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2568 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี