ผู้ชมทั้งหมด 1,116
SCG เผยกลยุทธ์ธุรกิจ 2564 เร่งเครื่องรับความท้าทายยุค New normal มุ่งขับเคลื่อนองค์กรตามแนวทาง ESG สร้างความยั่งยืน พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรุกตลาดใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ชี้ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างต้องปรับตัว ส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้งเติบโตดี
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจเอสซีจี ประจำปี 2564 ว่า SCG มุ่งดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการทำงาน โดยพร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ โดยกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังคงเน้นการปรับตัวเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ โดยเฉพาะยุค New normal หลังเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
โดย SCG ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Management – BCM) และการลงมือปฏิบัติให้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและสร้างการเติบโตระยะยาว ด้วยกลยุทธ์ 2 ด้าน
กลยุทธ์ ด้านที่ 1 ดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และนำของเหลือใช้จากกระบวนการผลิตกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้ได้มากที่สุด ตั้งเป้าเดินหน้าองค์กรสู่ Net Zero ภายในปี 2050 และมุ่งต่อยอดนวัตกรรมสู่ธุรกิจ Solar Energy เพื่อตอบโจทย์การใช้พลังงานทางเลือก
กลยุทธ์ด้านที่ 2 ปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสู่ New Normal Digitalization โดยให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาช่องทางออนไลน์ เพื่อเสนอสินค้า และบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร ตอบสนองความต้องการและวิถีชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมมูลค่าสูง (High Value Added Products & Services – HVA) ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงมองหาโอกาสในตลาดใหม่ที่เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และขยายธุรกิจเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการสูงขึ้น เช่น การต่อยอดธุรกิจสู่ Health & Well-Being Business
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 นั้นตนมองว่าในปีนี้ธุรกิจแพคเกจจิ้งยังมีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการใช้สินค้าแพคเกจจิ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยอมรับว่าได้รับผลกระทบหลังจากโครงการก่อสร้างใหม่ๆเกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ยังมีโครงการลงทุนของภาครัฐที่ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นบริษัทต้องปรับตัว เพื่อให้สินค้าในกลุ่มซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างตรงใจลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากในอนาคตคาดว่าการก่อสร้างอาจน้อยลง แต่การซ่อมแซมจะเพิ่มขึ้น
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจเคมิคอล ขึ้นอยู่กับวงจรธุรกิจ โดยมีทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกรทะบจากโควิด-19 กับกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือวัสดุที่เกี่ยวข้อง Smart Energy หรือพลังงานอัจฉริยะในแผงโซลาร์เซลล์ยังไปได้