ผู้ชมทั้งหมด 448
SCC มั่นใจยอดขายปีนี้ทะลุเป้าโตเกิน 10% ชู 5 กลยุทธ์ช่วยหนุนความสามารถทำกำไร เล็งซื้อกิจการให้ผลตอบแทนที่ดีรับรู้รายได้ทันที พร้อมคุมเข้มการลงทุนหั่นงบลงทุนปีนี้เหลือ 7หมื่นล้านบาท ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในครึ่งปีหลังความไม่แน่นอนสูง มีปัจจัยลบเพียบทั้งเศรษฐกิจถดถอยเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูง
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจภาพรวมรายได้จากการขายในปี 2565 จะเติบโตเกินเป้าหมาย 10% เนื่องจากเป็นการเติบโตของราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงาน อย่างไรก็ตาม SCC จะเน้นให้ความสำคัญในการทำกำไรมากกว่าโดยในยุคที่เศรษฐกิจซบเซา ปัจจัยลบมีมากกว่าปัจจัยบวกไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อสูงขึ้น การประบอัตราดอกเบี้ย ราคาพลังงานที่สูงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ซึ่งก็คาดว่ายังส่งผลกระทบต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้การสร้างความสามารถในการทำกำไร และลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซานั้นบริษัทได้เร่งดำเนินการภายใต้ 5 กลยุทธ์ ประกอบด้วย 1.การลดต้นทุน เพิ่มการใช้พลังงานทางเลือก ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนราว16.4% 2.พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง 3.เพิ่มสภาพคล่องทางการเงินด้วยการบริหารเงินทุนหมุนเวียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 4.คุมเข้มการลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ โดยทบทวนการลงทุน โดยชะลอการลงทุนใหม่ๆที่ไม่เร่งด่วนหรือโครงการที่ให้ผลตอบแทนนาน โดยบริษัทมุ่งเน้นโครงการที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับ 10-15% และสามารถรับรู้รายได้ทันที ขณะที่โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม (LSP) การก่อสร้างคืบหน้า 96% ก็ยังดำเนินการต่อตามปกติ คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในปลายปีนี้และ 5.เดินหน้าESG โดยครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรักษ์โลกภายใต้ฉลากSCG Green Choiceราว 1.53 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 50% จากยอดขายรวม
ส่วนงบลงทุนในปีนี้ บริษัทได้ปรับลดลงเหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 80,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุน ซึ่งการตัดสินใจร่วมทุนหรือซื้อกิจการ (M&A )นั้นจะเน้นโครงการที่สร้างรายได้และกำไรทันที ทั้งนี้รายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีมูลค่าเท่ากับ 22,445 ล้านบาท โดยสัดส่วนการลงทุนเป็นของธุรกิจเคมิคอลส์ 58% ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 23% ธุรกิจแพคเกจจิ้ง 14% และส่วนงานอื่น 5% โดยรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน ส่วนใหญ่ใช้สำหรับโครงการปิโตรเคมีครบวงจรของ LSP ขณะที่ EBITDA ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 เท่ากับ 42,468 ล้านบาท ในขณะที่มีกระแสเงินสดจ่ายทั้งสิ้น 44,762 ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุน 22,445 ล้านบาท จ่ายเงินปันผล 13,932 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ย 4,377 ล้านบาท และจ่ายภาษีเงินได้ 4,008 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการไตรมาส2/2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 152,534 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น14%จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกกลุ่มธุรกิจจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นตามราคาตลาดโดยมีกำไรเท่ากับ 9,937ล้านบาท ลดลง42%จากช่วงเดียวกันปีก่อนจากต้นทุนวัตถุดิบธุรกิจเคมิคอลส์ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนงวด 6เดือนแรกปี2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 305,028ล้านบาท เพิ่มขึ้น19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ18,781ล้านบาท ลดลง41%จากช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบธุรกิจเคมิคอลส์ที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่สูง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลงโดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก2565ในอัตราหุ้นละ 6 บาท กำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 26 สิงหาคม 2565