ผู้ชมทั้งหมด 819
SCC ตั้งเป้ายอดขายปี 65 เติบโต 10% พร้อมอัดงบลงทุน 8 หมื่นล้าน ลงทุนต่อเนื่องโครงการ LSP เล็งซื้อกิจการเพิ่มทั้งในไทย และต่างชาติ เดินหน้าปรับธุรกิจต่อเนื่องให้สอดลค้องกับ 3 เมกะเทรนด์
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า ปี 2565 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10% เทียบกับปี 2564 ที่มียอดขายราว 530,112 ล้านบาท เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 คลี่คลายดีขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าบริการหลายรายการราคาสูงขึ้นตามกลไกตลาด ซึ่งสะท้อนกับต้นทุนราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามจากที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบและพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ นั้น บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมในแต่ละอุตสาหกรรม ได้เร่งทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมเพื่อ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไปให้ทันท่วงที และการนำดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ โดยปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับ 3 เมกะเทรนด์ ประกอบด้วย
1.ชู ESG (Environmental, Social and Governance) ในการดำเนินธุรกิจ เอสซีจีใช้ ESG 4 Plus “มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ ภายใต้ความเป็นธรรม โปร่งใส” เป็นกรอบพัฒนาที่เป็นมาตรฐานการดำเนินธุรกิจระดับโลกสอดคล้องกับเป้าหมายพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs ของสหประชาชาติและ BCG Economy ของภาครัฐ เอสซีจีเตรียมเงินลงทุนเบื้องต้น 70,000 ล้านบาทภายในปี 2573 เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 (Net Zero 2050)
โดยในปี 2564 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ (ทำได้ดีขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปี 2563) และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์รักษ์โลกฉลาก SCG Green Choice จาก 33% ในปี 2563 เป็น 41% ในปี 2564
2.ใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า รวมถึงช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุน ลดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่น เทคโนโลยี Digital Twin ตัวแทนเสมือนที่ช่วยประเมินผลเพื่อปรับรูปแบบการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ CPAC Green Solution ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหารงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลใช้บริหารการจัดจำหน่ายซึ่งมีเครือข่ายใหญ่ที่สุด อาทิ ‘Prompt Plus’ แพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับร้านค้ารายย่อยกว่า 9,000 ร้านค้าทั่วประเทศ และ ‘รักเหมา’ แพลตฟอร์มสั่งซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับเจ้าของโครงการก่อสร้าง ผู้รับเหมาขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมากกว่า 50,000 รายทั่วประเทศไทย
3.พัฒนาโซลูชันใหม่รับเทรนด์การรักษ์สุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต อาทิ กลุ่มนวัตกรรมพลาสติกเพื่อการแพทย์ เช่น แคปซูลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ถุงซักผ้าละลายน้ำ ลดความเสี่ยงติดเชื้อจากเสื้อผ้าผู้ป่วย Smart Building Solution นวัตกรรมบริหารระบบอาคาร เพื่อปรับคุณภาพอากาศและประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยี IoT นวัตกรรมผนังสมาร์ทบอร์ด Ultra Clean Wall Solution ทำให้ห้องมีความสะอาด ปลอดเชื้อโรค ระบบไอออนกำจัดเชื้อโรคในอากาศ SCG Bi-Ionization Air Purifier ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและไวรัสภายในบ้านและอาคาร ระบบหลังคา SCG Solar Roof Solutions ที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคาบ้าน ช่วยลดค่าไฟ และยังสามารถผลิตไฟฟ้าจากหลังคาโรงจอดรถ เพื่อใช้งานร่วมกับยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ได้อีกด้วย
นายรุ่งโรจน์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่ประเทศเวียดนาม ว่า ในขณะนี้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างไปแล้วกว่า 90% คาดว่าจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในครึ่งแรกของปี 2566 ขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังศึกษาขยายการลงทุนในเฟสที่ 2 โดยมองการต่อยอดธุรกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) รองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ส่วนงบลงทุนในปี 2565 SCC และบริษัทในเครือตั้งงบลงทุนไว้ 80,000 ล้านบาท โดย 40% ของงบลงทุนจะนำไปใช้ลงทุนในโครงการ LSP ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในขณะนี้ ส่วนที่เหลือใช้ขยายการลงทุน และซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศไทย และในประเทศที่กลุ่ม SCC มีฐานการลงทุนอยู่เดิม
ขณะที่แผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของเอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติแผนแล้ว โดยจะเสนอขายหุ้น IPO ไม่เกิน 25.2% ของทุนชำระแล้วของเอสซีจี เคมิคอลส์ โดยคาดว่าจะจัดสรรหุ้น IPO ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ (Pre-emptive Right) ไม่เกิน 15% ของหุ้น IPO ทั้งหมดทั้งนี้ เพื่อระดมทุนเดินหน้าขยายธุรกิจศักยภาพสูง สร้างความเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน ตอบโจทย์ตลาดโลก