ผู้ชมทั้งหมด 1,009
“ปูนซิเมนต์ไทย” ชี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่จีนผ่อนคลายเปิดประเทศมากขึ้น อาจหนุนผลการดำเนินงานไตรมาส3 ปีนี้ เผยธุรกิจปิโตรเคมี ระยะยาวยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี หลังซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่โครงการ LSP เสร็จครึ่งแรกปี66 ทันได้รับประโยชน์
นายณรงค์พันธุ์ ลีสหะปัญญา Director-Investor Relations and Strategic Planning บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผย Oppday Q2/2022 บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) SCC เมื่อวันที่ 9 ส.ค.2565 โดยระบุว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีความท้าทายหลายปัจจัยที่ต้องรับมือ ทั้งปัญหารัสเซียกับยูเครนที่สงครามยังไม่เสร็จสิ้นลง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อต่อไป รวมถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน ที่สร้างความผัวผวนในตลาด ส่วนจีน หากสามารถผ่อนคลายมาตราการล็อกดาวน์มากขึ้นก็น่าจะเอให้เกิดการเติบโตเพิ่มขึ้นได้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงทำให้อุตสาหกรรมยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
โดยในส่วนของไตรมาส 3 ปีนี้ ยังยากที่จะประเมินสถานการณ์ได้เพราะยังเป็นช่วงเริ่มต้นไตรมาส อีกทั้งสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีความผันผวน บริษัทมีการประเมินสถานการณ์รายสัปดาห์ แต่หากประเมินถึงปัจจัยบวก ก็พบว่า ยังมีปัจจัยหนุนจากทิศทางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งการส่งออกที่อยู่ในเกณฑ์ดี ธุรกิจท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เฉลี่ยเข้ามาประเทศไทยเดือนละ 1 ล้านราย
รวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศอย่าง จีน ที่มีแนวโน้มผ่อยคลายมาตรการและเปิดทยอยประเทศมากขึ้น ทำหเกิดการเดินทางมากขึ้น หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกหยุดชะงักไป ดังนั้นมาตรการของจีน น่าจะช่วยหนุนบรรยากาศในช่วงไตรมาส3-4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัท ได้เตรียมพร้อมในหลายด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์ธุรกิจที่ผันผวน ทั้งการเก็บเงินสดให้เพียงพอ การพิจารณาการลงทุนอย่างระมัดระวังและเข้มงวดมากขึ้น เน้นลงทุนในโครงการที่จำเป็น
สำหรับโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม (LSP)นั้น บริษัท ยังเดินหน้าการลงทุนอย่างเต็มที่ โดยล่าสุดการก่อสร้างคืบหน้า 96% มีฐานลูกค้าแล้วกว่า 3,000 ราย เตรียมความพร้อมเรื่องของพนักงาน 100% และจะเดินเครื่องการผลิตในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 รวมถึงเดินหน้า ESG โดยครึ่งแรกปีนี้ บริษัทมียอดขายนวัตกรรมรักษ์โลกภายใต้ฉลาก SCG Green Choice ประมาณ 1.53 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 50% ของยอดขายรวม
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับแผนการลงทุน โดยชะลอโครงการที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน และได้ปรับลดงบลงทุนปรับลดลงเหลือ 70,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ 75,000-80,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุน ซึ่งการตัดสินใจร่วมทุนหรือซื้อกิจการ (M&A ) จะเน้นโครงการที่สร้างรายได้และกำไรทันที เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท
ส่วนแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีหน้ายังเผชิญกับต้นทุนราคาพลังงานที่สูง โดยในแง่ของดีมานด์ก็ต้องลุ้นว่าจีนจะผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศมากแค่ไหน ส่วนซัพพลายต้องรอลุ้นปีหน้าและปีถัดไปจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาลดน้อยลงทำให้ระยะยาวจะได้รับปัจจัยบวก ประกอบกับโครงการ LSP จะแล้วเสร็จในกลางปี 2566 และมีวอลุ่มเข้ามาก็จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 305,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรในครึ่งแรกของปีนี้เท่ากับ 18,781 ล้านบาท ลดลง 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง อย่างไรก็ตามผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจปิโตรเคมีได้รับอานิสงส์จากวิกฤติฤดูหนาวที่รุนแรงในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้กำลังการผลิตในตลาดโลกลดลง