RATCH ปี 65 ตั้งเป้า EBITDA 2,500 – 3,000 ล้านบาท

ผู้ชมทั้งหมด 677 

RATCH ปี 65 ตั้งเป้า EBITDA 2,500 – 3,000 ล้านบาท รับรู้จาก 6 โครงการ COD ในปีนี้ พร้อมอัดงบลงทุน 3 หมื่นล้าน เล็งปิดดีลซื้อกิจการ 5 โครงการ วางเป้ากำลังการผลิตใหม่ 700 เมกะวัตต์ เพิ่มเป็น 9,800 เมกะวัตต์ 

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 รับรู้กำไรส่วนของบริษัทฯ จำนวน 7,772.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 เปรียบเทียบกับปี 2563 คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.36 บาท ขณะที่ปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนในธุรกิจอื่นนอก  ภาคการผลิตไฟฟ้า เป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท

โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 700 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการประเภทเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่น้อยกว่า 450 เมกะวัตต์ และโครงการประเภทพลังงานทดแทน ไม่น้อยกว่า 250 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนในปี 2565 เพิ่มถึง 9,800 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 9,115.04 เมกะวัตต์     

ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้นบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) ประมาณ 5 โครงการ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะเน้นลงทุนในโครงการที่ผลิตไฟฟ้าอยู่แล้วสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันที เช่น โครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ออสเตรเลีย โซลาร์ฟาร์มในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ก็มีบางโครงการเป็นลักษณะของการซื้อใบอนุญาตซื้อขายไฟฟ้าแล้วเข้าไปลงทุนใหม่ คาดว่าจะปิดดีลได้บางส่วนภายในปีนี้

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ที่ 2,500 – 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้า 6 โครงการกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 1,376.89 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปีนี้ ประกอบด้วย กลุ่มโรงไฟฟ้าสหโคเจน กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 124.95 เมกะวัตต์

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย 145.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าเน็กส์ซีฟ ราช ระยอง 45.08 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย 930.78 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม 15.15 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น ส่วนขยาย 31.19 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำอาซาฮาน 1 อีก 86.20 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตามเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA ในปีนี้ยังไม่นับรวมกับโครงการใหม่ที่อยู่ในแผนการซื้อกิจการ

สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์ 3-G (Growth, Green, Generate Strategy) เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย G-1 มุ่งเน้นแสวงหาโอกาสเติบโตเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่ากิจการเพิ่มในอนาคต G-2 สนับสนุนพลังงานทดแทน และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ G-3 เน้นเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและความเป็นเลิศขององค์กร

นอกเหนือจากเป้าหมายการลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะต้องดำเนินการให้สำเร็จแล้ว บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายที่จะยกระดับการจัดการประเด็นด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะการจัดการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งได้วาง 6 แนวทางในการดำเนินงาน นับตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนต่อเนื่องทุกปี การกระจายการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ การเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าเพื่อ ลดการใช้เชื้อเพลิงและพลังงาน การปลูกป่าเพื่อสร้างแหล่งดูดกลับก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งกำหนดสัดส่วนประเภทเชื้อเพลิงสำหรับการลงทุน และจำกัดเพดานการลงทุนเชื้อเพลิงถ่านหิน บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า แนวทางดังกล่าวนี้จะช่วยจำกัดและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทฯ มีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และจะต้องเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามลำดับ กอปรกับแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า