RATCHลุยพลังงานทดแทนตั้งเป้า2,500MWในปี68

ผู้ชมทั้งหมด 865 

RATCH เดินหน้าขยายลงทุนพลังงานทดแทน เร่งเพิ่มสัดส่วนเป้าหมาย 2,500 เมกะวัตต์ในปี 68 จากปัจจุบันมีสัดส่วนกว่า 1,100 เมกะวัตต์ หวังช่วยลดก๊าซเรือนกระจก 20%  

นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมาย 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25 จากเป้าหมาย 10,000 เมกะวัตต์ โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ประกาศลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมเน็กส์ซิฟ เบนเตร กำลังผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ห่างจากนครโฮจิมินห์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังได้มองหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติม ทั้งใสนประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นฐานการลงทุนเดิมของบริษัทฯ

ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการพลังงานลมเป็นลำดับ โดยโครงการในออสเตรเลียมีการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โครงการพลังงานลมคอลเลกเตอร์ (บริษัทฯ ถือหุ้นทั้งหมด) กำลังการผลิต 226.8 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมยานดิน กำลังผลิต 214.2 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้นร้อยละ 70) และโรงไฟฟ้าพลังงานลมทานฟง ในเวียดนาม กำลังการผลิต 29.7 เมกะวัตต์ (บริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 51) อยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2564  

อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน RATCH มีกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนตามสัดส่วนลงทุนอยู่ที่ 1,100.32 เมกะวัตต์ (ไม่รวมกำลังผลิตจากการลงทุนในหุ้น EDL-GEN) คิดเป็นความก้าวหน้าร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับเป้าหมาย 2,500 เมกะวัตต์ โดยการลงทุนพลังงานทดแทนในจำนวนดังกล่าวนั้นเป็นการลงทุนในประเทศไทย สปป. ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม แบ่งเป็นพลังงานลม 719.74 เมกะวัตต์  พลังงานแสงอาทิตย์ 72.48 เมกะวัตต์ พลังงานน้ำ 304.14 เมกะวัตต์ (ไม่รวมกำลังผลิตจากการลงทุนในหุ้น EDL-GEN) และพลังงานชีวมวล 3.96 เมกะวัตต์  

ทั้งนี้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนรวมดังกล่าวสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 2,072,553 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และจะส่งผลต่อความสำเร็จของเป้าหมายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ร้อยละ 20 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในปี 2568