ผู้ชมทั้งหมด 699
PTTEP มั่นใจผลิตก๊าซธรรมชาติ โครงการจี 1/61 ได้ตามเป้าหมาย มั่นใจปลายปีนี้ผลิต 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 มีกำไร 19,281 ล้านบาท สามารถนำส่งรายได้จากการดำเนินธุรกิจให้กับรัฐประมาณ 8,300 ล้านบาท
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP (ปตท.สผ.) กล่าวว่า ในไตรมาส 1/2566 ปตท.สผ. มีความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ที่เน้นการลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยชนะประมูลแปลงสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย รอบที่ 24 จำนวน 2 แปลง คือ แปลงจี 1/65 และแปลงจี 3/65 ซึ่งอยู่ใกล้กับโครงการจี 1/61 และจี 2/61 ที่บริษัทเป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้สามารถเร่งแผนการพัฒนาโครงการได้รวดเร็วขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทน้ำมันและก๊าซฯ ของมาเลเซีย เพื่อเข้ารับสิทธิการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแปลงเอสเค 325 ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะสามารถต่อยอดการเติบโตในประเทศมาเลเซียได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าในโครงการจี 1/61 (แหล่งเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล, ฟูนาน) บริษัทได้เร่งการเจาะหลุมผลิต เพื่อให้สามารถเพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ ตามแผนงานที่วางไว้ โดยจะเพิ่มเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันภายในช่วงกลางปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปลายปี และจะขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในเดือนเมษายน 2567 ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดผลกระทบด้านต้นทุนพลังงานให้กับประชาชน
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) นั้น ปตท.สผ. ได้หลีกเลี่ยงและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมได้ประมาณ 1.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากปีฐาน 2563 จนถึงปลายไตรมาสที่ 1 นี้ จากการบริหารจัดการการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P Portfolio) และกิจกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต ได้แก่ การนำก๊าซส่วนเกินจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมกลับมาใช้ใหม่ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นต้น
ด้านโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ที่แหล่งอาทิตย์ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์นั้น อยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบด้านวิศวกรรม (Front-End Engineering and Design: FEED) โดยบริษัทคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision) ในครึ่งหลังปีนี้ ส่วนการพัฒนาพลังหมุนเวียนแสงอาทิตย์ของโครงการเอส 1 กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง
นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจพลังงานและสร้างการเติบโตในอนาคต ปตท.สผ. ได้ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ โดยได้จัดตั้งหน่วยงานเทคโนโลยีและคาร์บอนโซลูชั่น เพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนและไฟฟ้า ไฮโดรเจน การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) รวมถึงการดักจับคาร์บอนและการนำมาใช้ประโยชน์ (CCU) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2566 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,314 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 78,438 ล้านบาท) ลดลงประมาณร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2565 โดยหลักมาจากปริมาณการขายเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 460,817 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เนื่องจากปริมาณการขายจากโครงการในต่างประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทมีรายจ่ายจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-operating items) ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ส่งผลให้ไตรมาส 1/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 569 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 19,281 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 ที่มีกำไรสุทธิ 10,519 ล้านบาท
ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในรอบ 3 เดือนแรกของปี 2566 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ซึ่งอยู่ในรูปภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่นๆ ประมาณ 8,300 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น