ผู้ชมทั้งหมด 1,035
PTTEP ปี 64 ตั้งเป้าขายปิโตรเลียมเติบโต 6% พร้อมอัดงบลงทุน 1.32 แสนล้านบาท เร่งพัฒนาโครงการใหม่ มองหาโอกาสขยายการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ชี้เงินสดในมือ 1.14 แสนล้านบาทยังแข็งแกร่ง ขณะผลงานปี 63 กำไร 2.2 หมื่นล้านบาท จ่ายปันผล 4.25 บาทต่อหุ้น
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยว่า แผนการลงทุนปี 2564 PTTEP ได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 132,174 ล้านบาท เพื่อรักษากำลังการผลิตจากโครงการหลัก เร่งพัฒนาโครงการสำคัญเพื่อเริ่มการผลิตให้ได้ตามแผนที่วางไว้ และดำเนินกิจกรรมการสำรวจเพื่อการเติบโตในระยะยาว โดยได้ตั้งเป้าหมายปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยไว้ที่ 375,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากการเริ่มการผลิตปิโตรเลียมใน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ และโครงการมาเลเซีย – แปลงเอช
โดยในปี 2564 PTTEP ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมทั้ง ธุรกิจใหม่ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตให้กับ PTTEPในอนาคต อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาแม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทฯ สามารถขยายการลงทุนได้ตามเป้าหมาย เช่น การได้รับสิทธิสำรวจแปลง 12 ในโอมาน และการชนะการประมูลแปลงสำรวจออฟชอร์ 3 ในยูเออี นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเมียนมาให้เดินหน้าพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (Integrated Domestic Gas to Power) รวมถึงการขยายธุรกิจ AI & Robotics Venture (ARV) เพื่อให้บริการด้านการเกษตรแบบครบวงจรในรูปแบบของแพลตฟอร์ม และธุรกิจการบริการงานวิศวกรรมใต้ทะเล ตามแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่
สำหรับผลประกอบการปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 167,418 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 198,822 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงร้อยละ 18 มาอยู่ที่ 38.92 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ จากปีก่อนราคาเฉลี่ยในระดับ 47.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลงมากในปี 2563 เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ประกอบกับในปี 2563 บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากรายการที่ไม่ใช่การดำเนินงานปกติ (Non-recurring items) โดยได้ตั้งด้อยค่าของสินทรัพย์ (Impairment) โครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ประเทศแคนาดา จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ และโครงการเยตากุน ประเทศเมียนมา สาเหตุมาจากการปรับแผนการผลิตลดลงตามศักยภาพปัจจุบันของแหล่งผลิต
พร้อมกันนี้ในปี 2563 บริษัทฯ ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 354,052 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีปริมาณขายปิโตรเลียมที่ระดับ 350,651 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และมีผลกำไรจากการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน (Hedging) จำนวน 3,632 ล้านบาท จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ PTTEP มีกำไรสุทธิในปี 2563 ที่ 22,664 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 54 จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 48,803 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit cost) ที่ 30.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา ที่ร้อยละ 68 ซึ่งเป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ และยังมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งด้วยเงินสดในมือ 114,261 ล้านบาทมีศักยภาพเพียงพอต่อการขยายการลงทุน
“ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจปิโตรเลียมต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทั้งเรื่องสงครามราคาน้ำมัน และผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ซึ่ง ปตท.สผ. ได้รับผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน แต่บริษัทยังคงมีผลกำไรใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเราได้การปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานหลายประการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้โครงสร้างต้นทุนลดลง แต่ยังคงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน” นายพงศธร กล่าว
อย่างไรก็ตามจากผลประกอบการข้างต้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2564 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2563 ที่ 4.25 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ PTTEP ได้จ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 1.50 บาทต่อหุ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 ส่วนที่เหลืออีก 2.75 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 2 มีนาคม 2564 และจะจ่ายในวันที่ 26 เมษายน 2564 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2564 แล้ว