PEA เร่งหารือหน่วยงานความมั่นคงสัปดาห์หน้า ปมขายไฟฟ้าให้เมียนมา ยันทำตามมติ ครม.

ผู้ชมทั้งหมด 194 

PEA เร่งหารือหน่วยงานความมั่นคงสัปดาห์หน้า ปมขายไฟฟ้าให้เมียนมา ยันทำตามมติ ครม.เดินหน้าแก้ไขร่างระเบียบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้าให้เพื่อนบ้านใหม่ ชี้ต้องรัดกุมมากขึ้น    

นายประดิษฐ์ เฟื่องฟู รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมชี้แจงการจำหน่ายไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดย นายประดิษฐ์ ระบุว่า การซื้อขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้เขตชายแดนนั้น PEA ดำเนินตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในปี 2539 โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ ยกเว้นมีประเด็นนโยบาย  ที่สำคัญให้เสนอพิจารณา

สำหรับในปัจจุบัน PEA ได้จ่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุด ในพื้นที่ ประกอบด้วย 1. บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ บริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 2. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) ผู้ได้รับสัมปทานจากเมียนมา 3. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัดผู้ได้รับสัมปทานจากเมียนมา

4. สะพานมิตรภาพไทย – พม่า แห่งที่ 2 อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited ผู้ได้รับสัมปทานจากเมียนมา 5. บ้านห้วยม่วง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง มีบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry & Manufacturing Company Limited (SMTY) ผู้ได้รับสัมปทานจากเมียนมา โดยการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับเมียมารวม 5 จุด จำนวน 210 ล้านหน่วยต่อปี มีรายได้รวมจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าราว 800 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้การจ่ายไฟฟ้าในจุดซื้อขายไฟฟ้าไปยังเมียนมา คู่สัญญาทุกจุดซื้อขายไฟฟ้าเป็นผู้ได้รับสิทธิสัมปทานการซื้อขายไฟฟ้าจากรัฐบาลของเมียนมา โดยผ่านการรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือด้านเอกสารจากกระทรวงการต่างประเทศ และPEA ประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคงของไทยในพื้นที่ก่อนจำหน่ายไฟฟ้าไปยังเมียนมา

สำหรับกรณีการงดจ่ายไฟฟ้าหรือบอกเลิกสัญญา มี 2 กรณี คือ กรณีคู่สัญญาดำเนินการผิดสัญญา เช่น ไม่ชำระค่าไฟฟ้าตามกำหนด หรือไม่วางหลักประกันสัญญา ส่วนกรณีที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ PEA จำเป็นต้องมีหนังสือเป็นทางการไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ ก่อนการดำเนินการบังคับใช้ข้อสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการเดียวกันกับการเริ่มทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หากเป็นในเรื่องนโยบาย PEA จำเป็นต้องขอความเห็นชอบจาก ครม. ก่อน

อย่างไรก็ที่ผ่านมามีการดำนเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับเมียนมามาแล้ว 3 จุด แบ่งเป็นการขอให้ระงับการจ่ายไฟฟ้าของรัฐบาลเมียนมาเองในปี 2566 โดยสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ขอให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยแจ้ง PEA ดำเนินการระงับการจำหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ 2 จุดที่บ้านวังผา อ.แม่ระมาด – บ.ก๊กโก๋ อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และบ้านแม่กุใหม่ท่าซุง – อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ส่วนอีก 1 จุด ปี 2567 ในพื้นที่ อ.เชียงแสน – เมืองพงษ์ จ.ท่าขี้เหล็ก คู่สัญญาผิดนัดชำระค่าไฟฟ้า ทำให้ PEA ต้องดำเนินการยกเลิกจุดซื้อขายไฟฟ้า

สำหรับการตรวจสอบว่ามีการกระทำใดที่มีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศไทยนั้น PEA ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกรณีดังกล่าวในประเทศของคู่สัญญาได้ จึงต้องอาศัยหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจประสานงานในการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และแจ้ง PEA เพื่อดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ PEA จัดทำหนังสือเป็นทางการผ่านกระทรวงการต่างประเทศไปยังหน่วยงานของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อขอให้กำกับดูแลและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้เป็นไปตามสิทธิสัมปทาน ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า หากหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศไทยตรวจสอบและพิจารณาว่าการจ่ายไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศไทย และแจ้งให้ PEA ดำเนินการงดจำหน่ายไฟฟ้าตามขั้นตอนต่อไป

ด้าน นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ในขณะนี้ทาง PEA ได้ประสานงานกับหน่วยงานความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว คาดว่าจะมีการประชุมหารือร่วมกันในสัปดาห์หน้าในวันที่ 4 หรือ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาว่าการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับเมียนมานั้นกระทบความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ซึ่งต้องนำข้อมูลหลายๆ ด้านมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้เกิดประจักษ์พยานที่ชัดเจนก่อนจะดำเนินการระงับการจ่ายไฟฟ้าให้เมียนมา ซึ่งการสอบถามรายละเอียดข้อมูลด้านความมั่นคงนั้น PEA เคยส่งหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วตั้งแต่ปลายปี 2567 แล้วว่าการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับเมียนมากระทบความมั่นคงของประเทศอย่างไร ซึ่งยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน PEA ก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ไปตรวจสอบเองได้ ดังนั้น PEA จึงได้เร่งดำเนินการหารือกับหน่วยงานความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้     

พร้อมกันนี้คณะกรรมการ (บอร์ด) PEA ที่ผ่านมายังได้มีการแก้ไขร่างระเบียบสัญญาการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านใหม่ เพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการสูงสุด คาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 1 เดือน โดยรายละเอียดของสัญญาฉบับใหม่มีการตรวจสอบที่เข้มข้นในประเด็นด้านความมั่นคงของประเทศ และจะต้องยืนยันว่าซื้อไฟฟ้าไปแล้วจะนำไปขายให้กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าด้านใดได้บ้าง เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน เป็นต้น และต้องคำนึงถึงผลกระทบกับประชาชนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ด้วย ซึ่งหากใช้ผิดวัตถุประสงค์ก็สามารถยกเลิกสัญญาได้ง่ายขึ้น

นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจำหน่ายไฟฟ้าให้พื้นที่ชายแดนเมียนมาแล้ว PEA ยังมีการจำหน่ายไฟฟ้าไปยังกัมพูชา 9 จุด รวม 216 ล้านหน่วยต่อวัน มีรายได้ 800 ล้านบาทต่อปี และจำหน่ายไฟฟ้าให้กับสปป.ลาว จำนวน 4 จุดรวม 6.3 แสนหน่วย มีรายได้ 6 แสนบาทต่อปี หากรวมการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับทั้ง 3 ประพเทศ เมียนมา กัมพูชา และสปป.ลาว มีรายได้รวมราว 1,600 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 0.13% ของรายได้การขายไฟฟ้าภายในประเทศ หากมีการยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้านก็จะไม่กระทบกับรายได้ของ PEA