OR เผย ปีนี้ มีโอกาสปิดดีล M&A เพิ่ม

ผู้ชมทั้งหมด 1,021 

OR คาดผลประกอบการไตรมาส 2 ดีขึ้นจากไตรมาส 1 สอดรับทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทยยังขยายตัว หนุนยอดขายน้ำมัน ขณะที่ อัตรากำไรจากตลาด (Marketing Margin) ใกล้เคียงไตรมาส1 หลังรัฐลดภาษีสรรพสามิตดีเซลและใช้กลไกกองทุนน้ำมันเข้ามาดูแล พร้อมเร่งขยายปั๊มและคาเฟ่อเมซอนตามแผน หวังปิดดีล M&A เพิ่มในปีนี้หลังเจรจาหลายราย

นางสาวปิติรัตน์ รัตน์โชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงาน Oppday Q1/2022 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR โดยระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของ OR ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ น่าจะดีขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่าน ซึ่งเป็นการเติบโตตามทิศทางของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจที่ยังขยายตัว โดย IMF ประมาณการว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP) โลกปีนี้จะอยู่ที่ 3.6% และ สศช.คาดGDP ไทย จะเติบโต 2.5-3.5% ซึ่งในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศเกือบ 5 แสนคน และทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 5.6 ล้านคน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง 4.2-5.2% เป็นผลจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและน่าจะปรับลดลงได้ในปีหน้า อย่างไรก็ตามคาดว่า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่อจากการที่ภาครัฐมีมาตรการออกมากกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการท่องเที่ยวและต้องติดตามดูว่ามาตรการคนละครึ่งจะมีออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ รวมถึงเฝ้าระวังราคาพลังงานที่จะผัวผวนตามสงครามรัสเซียกับยูเครนจะยุติลงเมื่อใด และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ดูเหมือนจะรุนแรงน้อยลง โดย OR ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เฉลี่ยทั้งปีนี้ จะอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปีหน้า น่าจะปรับลดลงได้ ตามทิศทางเศรษฐกิจจีนที่น่าจะดีขึ้น และปัญหารัสเซียกับยูเครนที่น่าจะคลี่คลายขึ้น

โดยช่วงไตรมาส 2 ปีนี้คาดว่า อัตรากำไรจากตลาด (Marketing Margin) จะใกล้เคียงกับไตรมาส 1 แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันจะตรึงตัวแต่ราคาดีเซล มี Marketing Margin ที่แคบ แต่การที่รัฐใช้กลไกลภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันฯ เข้ามาดูแลราคาก็ช่วยให้การปรับราคาทำได้ดีขึ้นสามารถบริหารจัดการต้นทนและมาร์จินใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ได้

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า จากที่ติดตามมข้อมูลการค้าน้ำมันในช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พบว่า ทั้งในส่วนของดีเซล เบนซิน ยังไม่มีปัญหาและยอดขายยังไปได้ต่อ ขณะที่น้ำมันเครื่องบิน(JET) หลังผ่อนคลายมาตรการโควิด และเปิดประเทศมากขึ้นทำให้ยอดการใช้เพิ่มมากขึ้นจากช่วงโควิดที่วอลุ่มลดลงไปราว 70% ซึ่งก็คาดว่าในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 2 ไปถึงไตรมาส 4 ก็น่าจะมีปริมาณการใช้กลับมาเพิ่มขึ้ยต่อเนื่อง

ส่วนแผนขยายธุรกิจของ OR ยังเดินหน้าตามแผนที่ตั้งไว้ แม้ว่าในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา จะขยายสถานีบริการ(ปั๊ม)น้ำมัน ได้ล่าช้า จากสถานการณ์โควิด แต่ในช่วงไตรมาส 2-4 ก็จะเร่งรัดขยายการลงทุนทั้งปั๊มน้ำมัน และร้านคาเฟ่อเมซอนให้ได้ตามแผน โดยปั๊มเปิดใหม่ ประมาณ 198 แห่ง และร้านอเมซอน ราว 400 แห่งในปีนี้

ขณะนี้เรายังดีลที่คุยอยู่มากพอสมควร แต่ยังตอบมากไม่ได้ว่าจะชัดเจนกี่ราย ส่วนใหญ่ก็เป็นค้าปลีกอื่นๆที่ไม่ใช่น้ำมันและก็ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ F&B ที่จะเน้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ก็คาดว่า จะมีประกาศดีลได้ในระหว่างปี ซึ่งที่ผ่านมาทำได้ช้าเพราะติดโควิด แต่ปีนี้น่าจะมีประกาศดีลออกมาได้พอสมควร

สำหรับเงินระดมทุนตามแผน IPO ที่ OR ได้รับมา 53,000 ล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งได้นำไปใช้ลงทุนในกองทุนที่ไม่เกิน 1 ปี และนำไปขยายการลงทุนตามแผน 5 ปีของ OR ซึ่งได้เริ่มใช้เงินไปตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ก็ยังเหลือเงินที่จะนำไปลงทุนตามแผนที่ได้ยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. ขณะเดียวกัน บริษัทยังมี กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) เข้ามาปีละ ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเงินในส่วนนี้จะนำไปลงทุนในพวกกองทุน VC ,สตาร์ทอัพ และดีลควรรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) เป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับเงินระดมทุนดังกล่าว