OR หวัง Q4/67 ทุกกลุ่มธุรกิจปรับตัวดีขึ้น รับฤดูท่องเที่ยวปลายปี

ผู้ชมทั้งหมด 61 

OR คาดไตรมาส 4 ปี2567 ทุกกลุ่มธุรกิจปรับตัวดีขึ้น ตามแนวโน้มการเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัว เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2567 มีกำไรสุทธิ 4,651 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจของ OR ในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจตามสภาพเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มขยายตัวจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งมีวันหยุดและมีการเดินทางสูง รวมไปถึงการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของ OR ในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจ Mobility ทั้งในด้านการขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ PTT Station รวมไปถึงการจำหน่ายน้ำมันอากาศยาน กลุ่มธุรกิจ Lifestyle และกลุ่มธุรกิจ Global ตามแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัว

โดย OR ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้ปรับปรุงการทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร ทั้งในด้านการดำเนินการ การบริหารต้นทุน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมไปถึงเสริมสร้างและเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้า และได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอล หรือ Digital Transformation ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของการดำเนินธุรกิจ ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับกระบวนการทำงานหลักของธุรกิจและสร้างระบบนิเวศที่รองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต ยกระดับธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล พร้อมมุ่งสร้างโอกาสใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ พร้อมมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน

สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2567 OR มีกำไรสุทธิ 4,651 ล้านบาท ลดลง 57.3% รายได้ขายและบริการ 538,054 ล้านบาท ลดลง 39,024 ล้านบาท หรือลดลง 6.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ากลุ่มธุรกิจ Mobility จะมีผลประกอบการอ่อนตัวลงตามสภาพการแข่งขันและแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง แต่กลุ่มธุรกิจ Lifestyle ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีรายได้ขายและบริการเพิ่มขึ้น 1,316 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มและธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ และมี EBITDA จำนวน 12,779 ล้านบาท ลดลง 5,904 ล้านบาท หรือลดลง 31.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจากกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global ที่ภาพรวมผลประกอบการที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันในตลาดโลก 

อย่างไรก็ตาม EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายพิเศษ (Extra Item) เนื่องจากการยุติธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น โดย OR มีเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มรวม 4,462 สาขา ไม่ว่าจะเป็น Café Amazon, Pearly Tea และ Pacamara Coffee Roasters โดย Café Amazon มีปริมาณจำหน่าย 9 เดือน รวม 299 ล้านแก้ว  เพิ่มขึ้น  8.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดยอดปริมาณจำหน่าย 1 ล้านแก้วต่อวัน 

ทั้งนี้ ด้วยสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ OR ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม เพื่อให้ทุกการตัดสินใจลงทุน ยังได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม โดยปัจจุบัน OR อยู่ระหว่างการประเมินทบทวนความเหมาะสมของ Investment portfolio เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง

โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา OR ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ และได้พิจารณาที่จะยุติการดำเนินธุรกิจเท็กซัส ชิคเก้น และขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท อิ่มทรัพย์ โกลบอล คูซีน จำกัด เกิดผลขาดทุนและค่าใช้พิเศษที่เกี่ยวข้อง (Extra Item) รวม 552 ล้านบาท และเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อสร้างโอกาสใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ OR จะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงแสวงหาพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในการเป็นผู้นำธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มของ OR ต่อไป