ผู้ชมทั้งหมด 491
OR คาด ผลการดำเนินงานครึ่งหลังปี 65 โตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก รับเศรษฐกิจฟื้น รัฐผ่อนคลายมาตรการเปิดประเทศหนุนวอลุ่มการขาย ขณะที่เพิ่มเป้าขยายร้านอเมซอนในประเทศ แตะ 415 สาขาปีนี้ พร้อมเดินหน้าเจรจา M&A ธุรกิจ non-oil และไม่ใช่ non-oil อีกหลายดีล
นางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ OR เปิดเผยในงาน Oppday Q2/2022 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR โดยระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 บริษัท มั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ตามการเติบโตของธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่า GDP ไทยปีนี้จะเติบโต 2.7-3.2% สูงกว่าปี 2564 ที่เติบโต 1.5% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว เริ่มฟื้นตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดหมายว่าจะเดินทางเข้าสู่ประเทศถึง 9.5 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลดีต่อยอดขายน้ำมันอากาศยาน(Jet) เพิ่มขึ้นแม้จะยังไม่เท่ากับช่วยก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยปัจจัยเหล่านี้ จะส่งผลดีต่อปริมาณการขายของธุรกิจ Mobility ประกอบกับ ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ที่ปรับสูงขึ้น น่าจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันเพื่อป้อนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าสูงขึ้นด้วย
ส่วนธุรกิจ Lifestyle แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ ยังทรงตัวในระดับสูง หรือประมาณการอยู่ 6% ในปีนี้ จะยังเป็นปัจจัยที่กดดันกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้ Ebitda Margin ลดลง แต่เชื่อว่าครึ่งหลังของปีนี้ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะต้นทุนส่วนใหญ่ได้สะท้อนไปในไตรมาส 2 ที่ผานมาแล้ว รวมถึงบริษัท ยังมีแผนขยายสาขาร้านค้าต่างๆ จะช่วยเพิ่มการเติบโตได้
ขณะที่ธุรกิจ Global ยังมีแนวโน้มที่ดีตาม GDP ของประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งกัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่ยังขยายตัวได้ดีเป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนปริมาณการขายให้เติบโต
“เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโควิด และการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นและบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมถึง “คนละครึ่ง เฟส5” จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาอัดฉีดให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปได้ต่อ แต่ก็ยังต้องติดตามใกล้ชิด ทั้งภาวะราคาน้ำมัน ความตึงเครียดการเมืองระดับภูมิภาคทั้ง จีนกับสหรัฐ และจันกับไต้หวัน แต่เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบกับบริษัทรุนแรง โดยกลุ่ม ปตท.ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 102 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปี 2566 จะลดลงอยู่ที่ 93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล”
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ ในส่วนของ ธุรกิจ Mobility ได้ปรับลดเป้าหมายขยายสถานีบริการน้ำมัน ลดลงเหลือ 117 แห่ง จากเดิมจะขยาย 129 แห่ง จาก ณ 30 มิ.ย.65 อยู่ที่ 2,103 แห่งทั่วประเทศ ,ร้าน FIT Auto จะขยายเพิ่ม 13 สาขา และสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) คาดว่า สิ้นปีนี้จะทำได้ตามแผนอยู่ที่ 450 แห่ง จากครึ่งปีแรกขยายได้ 116-117 แห่ง
ส่วนธุรกิจ Lifestyle คาดว่า ในส่วนของร้านคาเฟ่อเมซอน จะขยายสาขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 415 สาขา จากเดิมจะขยาย 389 สาขา จาก ณ 30 มิ.ย.65 อยู่ที่ 3,707 สาขาทั่วประเทศ เนื่องจากมีผู้สนใจยื่นเรื่องขอเปิดร้านจำนวนมาก ส่วนร้านเท็กซัส ชิคเก้น เดิมมีแผนจะขยาย 20 สาขา แต่ได้ปรับลดเป้าหมายให้สอดรับกับสถานการณ์จริงเหลือขยาย 10 สาขา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแผนการควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ(M&A) แม้ว่าในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัท จะประสบความสำเร็จปิดไปได้หลายดีล แต่ปัจจุบันก็ยังมีดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกจำนวนมากทั้งที่เป็นธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจที่ไม่ใช่ Non-Oil
นอกจากนี้ ธุรกิจ Global ยังเปิดหน้า ขยายสถานีบริการน้ำมัน 73 แห่ง จาก ณ 30 มิ.ย.65 อยู่ที่ 373 แห่ง และร้านคาเฟ่อเมซอน จะขยายสาขาลดลงเหลือ 119 สาขา จากแผนเดิมจะขยาย 129 สาขา จาก ณ 30 มิ.ย.65 อยู่ที่ 344 สาขา
นางสาวปิติรัตน์ กล่าวอีกว่า ตามแผนการลงทุน OR 2030 GOALS นั้น ในส่วนของการ performance ที่บริษัท เตรียมงบลงทุนอยู่ที่ 200,000 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตของ Ebitda เป็น 2 เท่าจากปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นภายในปี ค.ศ.2030 นั้น บริษัทจะนำเงินส่วนนี้ไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจร่วมกันในอนาคต โดยคาดว่า ใน ecosystems ของ OR จะมีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 1 ล้านราย