ผู้ชมทั้งหมด 791
KTIS มั่นใจผลประกอบการปี 66 เติบโตกว่าปี 65 จากปริมาณอ้อยเพิ่ม ราคาน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ดี หนุนรายได้ทุกธุรกิจขยายตัวขึ้น ขณะที่รายได้ธุรกิจใหม่หนุนทั้ง โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ เฟส 1 ที่เริ่มหีบอ้อย คาดรับรู้รายได้กว่า 3,00 ล้านบาท โครงการ EPAC เริ่มผลิตเม.ย.นี้ คาดเริ่มรับรู้รายได้ป ระมาณ 300-400 ล้านบาท
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงาน Oppday Year End 2022 บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) KTIS เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 โดยระบุว่า แนวโน้มธุรกิจในปี 2566 ถือว่าเป็นโอกาสทองของกลุ่ม KTIS เนื่องจากจะได้รับปัจจัยบวกจากธุรกิจน้ำตาลที่เป็นรายได้หลัก ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณอ้อยเพิ่มจากปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่คุณภาพอ้อยดีกว่าปีก่อนมาก ทำให้สกัดได้น้ำตาลในปริมาณมากขึ้นกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 8% หรือ 8 กิโลกรัมต่อตันอ้อย ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้และผลประกอบการปรับเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในส่วนของราคาน้ำตาลทั้งในประเทศและต่างประเทศปรับสูงขึ้น ปัจจุบัน เฉลี่ยรวมพรีเมี่ยมแล้วอยู่ที่กว่า 20 เซนต์ต่อปอนด์ ก่อให้เกิดผลประกอบการที่ดี ขณะเดียวกันปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดผลพลอยได้เพิ่มขึ้น เช่น ชานอ้อย และโมลาส ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจไฟฟ้าชีวมวลและเยื่อกระดาษก็จะมีผลิตที่มากขึ้นไปด้วย ประกอบกับเยื่อกระดาษและไฟฟ้าชีวมวล ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของไฟฟ้าทางรัฐมีการประกาศปรับขึ้นค่าFt ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นราว 1 บาทต่อหน่วย ก็ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น
อีกทั้งในส่วนของธุรกิจเอทานอล ราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2565 อยู่ที่ 24 บาทต่อลิตร ปัจจุบันอยู่ที่ 28-29 บาทต่อลิตร และก็มีแนวโน้วดีต่อเนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีนี้ และส่งผลให้เกิดความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น
ตลอดจนในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจใหม่เข้าเสริม เช่น โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด (GKBI) บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอล ได้ทำการเปิดหีบอ้อยตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.2565 ขณะนี้กำลังผลิตเป็นเอทานอล คาดว่า จะสร้างรายได้เข้ามาปีนี้ กว่า 3,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ปริมาณ 30 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้
ส่วนความคืบหน้าโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 2 ที่ดำเนินการเพื่อรองรับการลงทุนของบริษัท NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพระดับโลก เพื่อผลิตพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้จากวัสดุธรรมชาติ รวมไปถึงเป็นโรงไฟฟ้าแบบชีวมวล โดยทาง NatureWorks ใช้งบลงทุนราว 1,430 ล้านบาท ปัจจุบันปรับพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ พร้อมกับทำการวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2566 แล้ว ซึ่ง NatureWorks มีแผนจะเริ่มการผลิต(COD) ในไตรมาส 1 ปี 2567
รวมถึง ยังมีโครงการบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย(EPAC) ซึ่งได้ติดตั้งเครื่องจักรไปแล้ว 50 เครื่อง ใช้วัตถุดิบ 50 ตันต่อวัน คาดว่าจะผลิตได้ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยได้ทำการทดสอบการทำงานของระบบ ( commissioning test) ไปแล้ว คาดว่า จะเริ่มผลิตได้ในเดือนเม.ย.นี้ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ประมาณ 300-400 ล้านบาท
“บริษัท คาดว่า รายได้และผลประกอบการในงวดปี 66 (ต.ค.65-ก.ย.66) จะเติบโตกว่างวดปี 65 อย่างแน่นอน ทั้งปริมาณอ้อยและน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาจำหน่ายที่สูงขึ้นด้วย ขณะที่ผลผลิตอ้อยในประเทศปีนี้ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านตัน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 110 ล้านตัน ซึ่งปริมาณอ้อยของบริษัท ก็จะเพิ่มขึ้นตามทิศทางการผลิตอ้อยของประเทศ”