IRPCไตรมาส1ผลงานเด่นพลิกกำไร5.5พันล้าน

ผู้ชมทั้งหมด 473 

IRPC โชว์ผลงานไตรมาส 1/64 พลิกกลับมาเป็นกำไร 5,581 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1/63 ที่ขาดทุน 8,904 ล้านบาท หลังจากได้รับปัจจัยหนุนจากกำไรสต๊อกน้ำมัน Market GIM เพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/64 คาดความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มีกำไรสุทธิ 5,581 ล้านบาท พลิกกลับมาเป็นกำไร เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่ขาดทุนสุทธิราว 8,904 ล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากการขายสุทธิ 48,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 และเพิ่มขึ้น 4,771 ล้านบาท หรือร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563

ขณะเดียวกัน IRPC มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 6,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 มีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ทั้งปิโตรเลียมและปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ต้นทุน Crude Premium ปรับตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับไตรมาส 4/2563 ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับ 44.62 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 5,002 ล้านบาท ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เนื่องจากที่กลุ่มโอเปกและพันธมิตรปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง และซาอุดิอาระเบียประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับการลดกำลังการผลิตของสหรัฐฯจากเหตุการพายุหิมะในรัฐเท็กซัส

บริษัทฯ เดินหน้าโครงการการขยายธุรกิจ โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษสำหรับ ผ้า Melt blown รวมถึงการต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีปลายน้ำโดยการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อผลิตผ้า Melt blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น

รวมถึงการเดินหน้าโครงการสร้างห้องปฏิบัติการทดสอบคุณภาพของอุปกรณ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการปรับปรุงการผลิตเพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมัน EURO V รวมถึงการมองหาพันธมิตร เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Smart materials ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ

ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 2/2564 ความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นจากไตรมาส 1/2564 โดยปัจจัยหลักยังคงเกี่ยวกับกลุ่มโอเปกและพันธมิตร รวมทั้งประเทศซาอุดิอาระเบียที่มีความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับการักษาสมดุลของตลาด โดยค่อยๆ ปรับเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือน พฤษภาคมถึงเดือน กรกฎาคม ประมาณ 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามแนวโน้มของตลาดในอนาคต รวมถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ในสหรัฐฯมีแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้น โดยสถานการณ์ตลาดน้ำมันในไตรมาส 2/2564 คาดว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดเริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุล และอาจจะเข้าสู่สภาวะอุปทานตึงตัว ในไตรมาส 3/2564 และในไตรมาส 4/2564 หลังจากที่ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด – 19 ที่หลายประเทศเร่งดำเนินการฉีดเพิ่มขึ้น และยังส่งผลต่อเศรษฐกิจฟื้นตัว