IRPCอัดงบ3หมื่นล้านลุยลงทุน5ปีพร้อมตอกเสาเข็มUCFซื้อกิจการ

ผู้ชมทั้งหมด 837 

IRPC อัดงบลงทุน 30,000 ล้านลุยลงทุน 5 ปีเน้นสร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน ตอกเสาเข็ม UCF เล็งซื้อกิจการ ปลายปีนี้เดินเครื่องผลิต PP เกรดพิเศษ Meltblown ส่วนครึ่งปีหลังลุ้นเร่งฉีดวัคซีนปัจจัยบวกผลงาน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า เตรียมงบลงทุนไว้สำหรับ 5 ปี (2564-2568) ราว 30,000 ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นการลงทุนในปี 2565 ที่จะมีการลงทุนในโครงการ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซล (Ultra Clean Fuel Project: UCF) ขนาดกำลังการกลั่น 75,000 บาร์เรลต่อวัน ใช้งบลงทุน 13,300 ล้านบาท

ทั้งนี้โครงการ UCF นั้นได้ผู้รับเหมาและที่ปรึกษาโครงการแล้วคาดว่าจะใช้เวลาในการดำเนินการก่อสร้างประมาณ 30 เดือน ซึ่งก็จะแล้วเสร็จในปี 2567 โดยการดำเนินโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานที่กำหนดให้จำหน่ายน้ำมันดีเซลในประเทศตามมาตรฐาน Euro V ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เพื่อลดปัญหาฝุ่นมลภาวะ รวมถึงลดปัญหา PM 2.5 และสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว

นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังมีแผนลงทุนซื้อกิจการ (M&A) หรืออาจจะเป็นลักษณะการร่วมลงทุน (JV) ซึ่งในขณะนี้ก็เริ่มมีการเจรจาบ้างแล้ว โดยจะเน้นลงทุนในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (specialty) เพื่อต่อยอดการเติบโตดันทันที ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสเข้าไปลงทุนในกลุ่ม สตาร์ทอัพ ผ่านกองทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม ที่สามารถต่อยอดพัฒนาไปสู่ธุรกิจในอนาคตได้

โดย IRPC มีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ specialty ในสัดส่วน 20% ในปีนี้ โดยเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ และในปีวางเป้าเพิ่มเป็น 30% ในปี 2567

ส่วนความคืบหน้าโครงการผลิตเม็ดพลาสติก PP เกรดพิเศษสำหรับผ้า Meltblown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ จะเริ่มทำการผลิตเพื่อการจำหน่ายในเดือนธันวาคม 2564 กำลังการผลิต 4,000 ตันต่อปี ซึ่งจะทำให้เป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

นายชวลิต กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 ว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 บริษัทฯ ยังคงมีความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งระบาดได้ง่ายในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีน ทำให้หลายประเทศกลับมาล็อกดาวน์​เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามการกระจายการฉีดวัคซีนเริ่มรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง ​ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจยังไปได้ดี ขณะเดียวกันบริษัทก็ได้เร่งประเมินตลาดและขยายช่องทางเพื่อรักษาระดับการส่งออกให้ดีขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ท่าท้ายที่จะทำให้ผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังออกมาใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก

ขณะที่กำลังการกลั่นในครึ่งปีหลัง 2564 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 195,000 บาร์เรลต่อวัน มากกว่าในครึ่งปีแรก 2564 ที่มีกำลังการกลั่นอยู่ในระดับ 190,000 บาร์เรลต่อวัน ส่วนภาพรวมทั้งปีคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ในระดับ 193,000 บาร์เรลต่อวัน โดยในส่วนของธุรกิจโรงกลั่น ดีมานด์น้ำมันและราคาคาดว่ายังทรงตัวจากช่วงครึ่งปีแรก

ส่วนธุรกิจปิโรเคมี โดยเฉพาะ ABS และ PP  คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีกำลังการผลิตใหม่จากจีนเพิ่มเข้ามาในตลาด ส่งผลให้สเปรดลดลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก แต่หากเทียบกับปีก่อนๆแล้ว ก็นับว่าสเปรดยังอยู่ในระดับที่ดี