Gulf Edge ผนึก Google Cloud ให้บริการ Sovereign Cloud ในไทย

ผู้ชมทั้งหมด 129 

Gulf Edge จับมือ Google Cloud เปิดให้บริการ Sovereign Cloud ที่ใช้งาน AI สำหรับประเทศไทย หนุนอุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จาก Google Cloud AI ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นเอกเทศ ตามการปฏิบัติข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูลภายในและการป้องกันข้อมูล

บริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด (“Gulf Edge”) ในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“Gulf”) และ Google Cloud ได้ประกาศข้อตกลงระยะเวลายาวสำหรับการให้บริการ Sovereign Cloud ในประเทศไทยตามข้อกำหนดที่เข้มงวด ด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้มุ่งเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ เช่น การให้บริการทางการแพทย์ ความปลอดภัยสาธารณะ พลังงาน และสาธารณูปโภค

ความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วยนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ชั้นนำของโลก และการวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพสูง ควบคู่ไปกับอธิปไตยในการดำเนินงาน (Operational Sovereignty) อธิปไตยในการการจัดเก็บข้อมูล (Data Sovereignty) และอธิปไตยในการใช้งานซอฟต์แวร์ (Software Sovereignty) ที่อยู่ภายใต้ขอบเขตข้อบังคับของประเทศ

จากข้อตกลงดังกล่าว Gulf Edge จะได้รับสิทธิ์จาก Google Cloud เพื่อดำเนินธุรกิจระบบคลาวด์ Google Distributed Cloud (GDC) ในฐานะผู้ให้บริการ Managed GDC Provider (MGP) สำหรับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การให้บริการคลาวด์ประเภท Google Distributed Cloud air-gapped (“GDC air-gapped”) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Google Sovereign Cloud ที่ทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมตามความต้องการของผู้ใช้งานคลาวด์และตัดขาดจากการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะโดยสิ้นเชิง ซึ่ง MGP เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่ร่วมมือกับทาง Google Cloud เพื่อขับเคลื่อนการนำ GDC air-gapped ผ่านการให้คำปรึกษาและบริการจากผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการจัดการดูแลระบบอย่างครบวงจร

โดยการให้บริการ Gulf Edge เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานเลือกได้ว่าจะทำการติดตั้งผลิตภัณฑ์ GDC air-gapped ในพื้นที่ของผู้ใช้งานหรือภายในศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของกลุ่มบริษัท Gulf พร้อมด้วยตัวเลือกฮาร์ดแวร์ที่หลากหลายตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้ใช้งาน เช่นหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) สำหรับใช้งานทั่วไป การให้บริการดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดการกับปัญหาเฉพาะขององค์กรและข้อกำหนดด้านปริมาณงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูล การดำเนินงาน และซอฟต์แวร์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของลูกค้าและอยู่ภายในขอบเขตของประเทศไทยโดยสมบูรณ์ โดยเป็นไปตามกรอบกฎหมายและข้อบังคับ อาทิ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ด้วยความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ขั้นสูงของ Google Cloud ในผลิตภัณฑ์ GDC ทำให้องค์กรในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในไทย สามารถใช้เทคโนโลยี เพื่อนำเสนอการให้บริการและองค์ความรู้แบบใหม่ ในยุคที่พลวัตของเทคโนโลยีดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เช่น การพัฒนาการรักษาแบบเฉพาะบุคคลสำหรับภาวะสุขภาพเรื้อรัง, การยกระดับการสร้างแบบจำลองทางเศรษฐกิจและการพัฒนาบริการสาธารณะที่ปรับเปลี่ยนได้และมีพลเมืองเป็นศูนย์กลาง,การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินและภัยพิบัติที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มการผลิตพลังงานสูงสุดในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ลม พลังน้ำ หรือโรงไฟฟ้าชีวมวล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นสิ่งเน้นย้ำความมุ่งมั่นของ Gulf ในการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและการพัฒนาที่ยั่งยืน ความร่วมมือกับ Google ในผลิตภัณฑ์ GDC air-gapped เกิดจากการที่เราเล็งเห็นุถึงความสามารถที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถแยกการทำงานออกจากอินเทอร์เน็ตสาธารณะโดยสิ้นเชิง ในขณะที่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ทำให้เราสามารถจัดการกับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากที่เกี่ยวกับข้องกับธุรกิจด้านพลังงานและสาธารณูปโภคที่สำคัญ อีกทั้งยังสามารถรักษาความปลอดภัยและตอบสนองความต้องการและปริมาณการใช้งานของคลาวด์ที่ยืดหยุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการให้บริการ GDC air-gapped ในประเทศไทยถือเป็นบันไดก้าวสำคัญของประเทศ เพราะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางดิจิทัลให้กับอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศ

รวมถึงในมุมของบริษัทยังเป็นการสร้างโอกาสที่สำคัญในการเติบโตทางธุรกิจได้อีกด้วย ความร่วมมือดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนบันไดก้าวแรก ที่จะต่อยอดไปสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ กับทาง Google Cloud โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เพื่อผลักดันการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศในอนาคต”

Karan Bajwa รองประธาน Google Cloud ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า จากความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีต่อรัฐบาลไทยในการจัดหาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่นและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสำหรับประเทศ รู้สึกยินดีที่ได้นำ Gulf Edge เข้ามาสู่การเป็น MGP เจ้าแรกในประเทศไทยที่ให้บริการผลิตภัณฑ์ GDC air-gapped ให้กับองค์กรต่าง ๆ ในประเทศต่อไป โดยผลิตภัณฑ์ GDC air-gapped ของ Google Sovereign Cloud ที่มีเทคโนโลยี AI นี้จะช่วยให้ภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมภายใต้การกำกับดูแล สามารถเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลตามความต้องการของแต่ละองค์กร ภายใต้ข้อกำหนดต่าง ๆ ของประเทศที่เข้มงวดได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ GDC air-gapped ยังสามารถช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ขยายขีดความสามารถใหม่ ๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูล เปิดเผยข้อมูลเชิงลึก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างแอปพลิเคชันตามความต้องการขององค์กร ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้มั่นใจได้ว่าองค์กรจะสามารถควบคุมและปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ ยังเป็นการปูทางให้ Gulf Edge และ Google Cloud สามารถขยายการดำเนินงานทางธุรกิจไปยังบริการด้านอื่น ๆ ในระบบนิเวศคลาวด์ในอนาคตได้ ทั้งด้าน AI และด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (cybersecurity) เพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพ อันจะนำไปสู่การที่ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมดิจิทัลในระดับภูมิภาค ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้จะรวมจุดแข็งของ Google Cloud ทางด้าน AI ที่ล้ำสมัยสำหรับองค์กร โครงสร้างพื้นฐาน นักพัฒนา ข้อมูล ความปลอดภัย และเครื่องมือการทำงานร่วมกันระดับองค์กร เข้ากับความเป็นผู้นำของ Gulf ในด้านการผลิตไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงานสะอาด ศูนย์ข้อมูล และโทรคมนาคมผ่านบริษัทในเครือ

 โดย ผลิตภัณฑ์ Cloud สำหรับข้อมูลที่เป็นความลับ GDC air-gapped จะมีการรักษาความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อให้ได้รับการควบคุมสูงสุด ซึ่งยังคงเป็นไปตามกฎระเบียบของไทย และปกป้องข้อมูลที่เป็นความลับ รวมถึงความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์ ความปลอดภัยของผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน ความปลอดภัยเครือข่าย การเข้ารหัส การระบุตัวตนและการจัดการการเข้าถึง การดำเนินการด้านความปลอดภัย การดำเนินการที่เชื่อถือได้ และการตรวจสอบและทดสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด

ส่วน เทคโนโลยี AI และการทำงานที่อาศัยข้อมูลจำนวนมากในสภาพแวดล้อมแบบ air-gapped จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์หลัก (เช่น Workbench, Pipelines, Predictions) ของ Vertex AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการพัฒนา AI แบบ end-to-end ของ Google Cloud ได้ เพื่อช่วยในการพัฒนาและปรับใช้การเรียนรู้ของเครื่องขั้นสูง (Machine Learning: ML) และแอปพลิเคชันสำหรับการค้นหาด้วย Generative AI อย่างรวดเร็วตามความต้องของผู้ใช้ โดยโมเดล ML ที่ผ่านการเรียนรู้ล่วงหน้า (Pre-trained) สำหรับ Speech-to-Text, การแปลภาษา และ optical character recognition (OCR) นั้นสามารถรองรับได้มากกว่า 100 ภาษา รวมถึงภาษาไทย เช่นเดียวกับ Gemma ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบโอเพนซอร์สที่ล้ำสมัยของ Google ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างอิสระเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ องค์กรต่าง ๆ ยังสามารถเข้าถึงทรัพยากรฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Google Cloud ได้หลากหลายมากขึ้น ซึ่งมีความสำคัญต่อนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในสภาพแวดล้อม air-gapped ไม่ว่าจะเป็น Google Kubernetes Engine (GKE), NVIDIA Tensor Core GPU, ระบบจัดการฐานข้อมูล AlloyDB Omni แบบพกพา และ Dataproc สำหรับการเรียกใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบโอเพนซอร์ส