GULF โชว์ผลงานไตรมาส 1 มีกำไรจากการดำเนินงาน 4,152 ล้านบาท

ผู้ชมทั้งหมด 253 

GULF โชว์ผลงานไตรมาส 1/67 รับรู้กำไรจากการดำเนินงาน 4,152 ล้านบาท เติบโต 13% เดินหน้าลงทุนพลังงานหมุนเวียนมุ่งเป้าสู่ 8,500 เมกะวัตต์ ขยายลงทุนใน 5 ประเทศ พร้อมลุยต่อยอดธุรกิจ Data center, Cloud AI ยังคงเป้ารายได้รวมโต 25-30%

นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2567 GULF มีรายได้รวมอยู่ที่ 32,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 9,427 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับในไตรมาส 1/2566 ทั้งนี้ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่ม GULF มีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ไปเมื่อเดือนมีนาคมและตุลาคม 2566 ส่งผลให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานเต็มไตรมาส พร้อมกันนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ที่เริ่ม COD หน่วยผลิตที่ 1 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ไปเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2567

นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากกลุ่ม GJP ในไตรมาส 1/2567 จำนวน 542 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากโรงไฟฟ้า SPP 7 โครงการมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญคือจาก 469 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 1/2566 เป็น 351 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ถึงแม้โรงไฟฟ้า GNS ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม GJP มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ ในช่วงไตรมาส 1/2567 ก็ตาม

ส่วนโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีผลการดำเนินงานที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่ลดลงถูกชดเชยจากโรงไฟฟ้าในกลุ่มที่หยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-Inspection) นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร Core Profit จากโครงการโรงไฟฟ้า DIPWP ในประเทศโอมานจำนวน 193 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29% จากไตรมาส 1/2566 ซึ่งเป็นผลจากปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจืดของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นด้วย

นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) ในประเทศเยอรมนี จำนวน 235 ล้านบาทในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเป็น 11.0 เมตร/วินาที จากที่มีความเร็มลมเฉลี่ยที่ 10.5 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2566 อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Solar Rooftop) ภายใต้ GULF1 ได้ทยอย COD เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 มีกำลังการผลิตที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 113 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ดีปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยจากส่วนแบ่งกำไรที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul เนื่องจากความเร็วลมเฉลี่ยที่ลดลงเป็น 4.8 เมตร/วินาที จาก 5.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2566 ประกอบกับค่า Ft เฉลี่ยของโครงการในไตรมาสนี้ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566

ส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในไตรมาส 1/2567 GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร จาก PTT NGD จำนวน 211 ล้านบาท ซึ่งพลิกจากผลขาดทุนจำนวน 177 ล้านบาทในไตรมาส 1/2566 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นอยู่ในระดับ 72.4 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2566 ที่มีราคาอยู่ในระดับ 65.5 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน GULF บันทึกรายได้ค่าก่อสร้างตามสัญญาสัมปทาน สำหรับงานถมทะเลของโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 จำนวน 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ค่าก่อสร้างดังกล่าว เติบโตขึ้นตามความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการ ซึ่งโครงการนี้ มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จภายในปี 2567 หลังจากนั้น กลุ่มบริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG terminal) ต่อไป

นอกจากนี้กลุ่ม GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,575 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329 ล้านบาท หรือ 26% เทียบกับไตรมาส 1/2566 โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ AIS ที่ดีขึ้นจากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้น เน้นขายแพ็คเกจที่มีมูลค่าเพิ่ม เป็นผลให้รายได้เพิ่มขึ้น ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ

นางสาวยุพาพิน กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% จากโครงการที่ทยอยเปิดดำเนินการในปีนี้ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ GPD หน่วยที่ 3 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิด COD ตามกำหนด และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ HKP หน่วยที่ 1 (770 เมกะวัตต์) ก็ได้เปิด COD ตามกำหนดเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน สำหรับโครงการ GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนด COD ในวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันแล้วจำนวน 190,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 450,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้

นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน GULF ให้ความสำคัญกับการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และพลังงานขยะ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายของบริษัทฯ ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Carbon Emissions) โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้นประมาณ 8,500 เมกะวัตต์ ใน 5 ประเทศ และมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ต้องการใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ซึ่งปัจจุบันความต้องการใช้ Data Center เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคองค์กรธุรกิจที่กำลังขับเคลื่อนเข้าสู่ Digital Transformation โดยการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ และการใช้งานด้าน Artificial Intelligence (AI) เป็นปัจจัยสนับสนุนให้องค์กรในประเทศและไฮเปอร์สเกลเลอร์ (Hyperscalers) ที่เข้ามาสู่ตลาดในประเทศไทย มีความต้องการจัดเก็บและจัดการข้อมูลมากขึ้น

ทั้งนี้ ธุรกิจ Data Center ของกลุ่มบริษัทมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งแบ่งเป็น 2 เฟส เฟสละประมาณ 24-25 เมกะวัตต์ รวมเป็นประมาณ 50 เมกะวัตต์ โดยเฟสที่ 1 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการประมาณเดือนมีนาคม 2568 ซึ่งการนำพลังงานสะอาดมาใช้ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในโลกดิจิทัลที่พัฒนาอย่างรวดเร็วต่อไป