GULF กางแผนลงทุนหลังควบรวมอินทัช อัดงบ 1 แสนล้านใน 5 ปี เน้นพลังงานสะอาด

ผู้ชมทั้งหมด 133 

GULF กางแผนลงทุนหลังควบรวมอินทัช อัดงบ1แสนล้านใน5ปี เน้นพลังงานสะอาด ธุรกิจดิจิทัลและดาต้า เซ็นเตอร์ เผยปีนี้เล็งนำเข้า LNG ราว 4-5 ล้านตัน รองรับโรงไฟฟ้าก๊าซฯในเครือ ยันไม่ต้องแก้สัญญาซื้อก๊าซฯ ปตท.

นายสารัชถ์ รัตนาวดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยถึงแผนการลงทุนหลังจากควบรวมกับบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ว่า แผน 5 ปี (2568 – 2572) เตรียมงบลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท สัดส่วน 60% – 70% เป็นพลังงานสะอาด ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนในธุรกิจดิจิตอล โครงสร้างพื้นฐาน และ Investment ส่วนในปี 2568 จะใช้งบลงทุน 20,000 ล้านบาท เน้นการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดในต่างประเทศ รวมถึงลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในสปป.ลาว และการลงทุนในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เฟสที่ 2 และ 3 หลังจากโครงการดาต้า เซ็นเตอร์เฟส 1 กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์มีลูกค้าครบแล้ว คาดว่าแล้วเสร็จในเดือนพ.ค.นี้ อย่างไรก็ตามธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์นั้นบริษัทฯ ตั้งเป้าในระยะประมาณ 2-3 ปี จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์

สำหรับธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ ในปี 2568 เตรียมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) ภายในประเทศ 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่ม COD ในช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค.2568 โครงการโซลาร์รูฟท็อป ภายใต้ GULF1 เพิ่มอีก 110 เมกะวัตต์ COD ปลายปีนี้ อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน ม.ค. 2568 ที่ผ่านมาได้ดำเนินการ COD โครงการ HKP หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตที่ COD ในปีนี้ ราว 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลให้ในปี 2568 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมเพิ่มเป็น 16,577 จาก 15,100 เมกะวัตต์ ในปี 2567 ส่วนในระยะยาวในปี 2576 คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ COD เพิ่มเป็น 23,356 เมกะวัตต์ 

นายสารัชถ์ กล่าวว่า การดำเนินการควบรวมนั้นจะเริ่มใช้ชื่อบริษัทใหม่ คือ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)ในวันที่ 1 เมษายน 2568 และเริ่มกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 3 เมษายน 2569 อย่างไรก็ตามการควบรวมบริษัทในครั้งนี้จะส่งผลให้บริษัทใหม่มีฐานะการเงินที่แข็งแรงขึ้น เนื่องจากบริษัทใหม่จะถือหุ้นโดยตรงใน AIS สัดส่วน 40% ซึ่งจะทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรกว่า 3,500 ล้านบาทต่อปี และมีกระแสเงินสดและเงินปันผลมากขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงเหลือ 0.8 เท่า จากเดิมไม่เกิน 1.8 เท่า รวมถึงส่งผลให้อันดับเครดิตเรทติ้งจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง จากเดิมที่มีต้นทุนเงินกู้ที่ระดับ 3%

นำเข้า LNG 4-5 ล้านตัน ป้อนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ทั้งหมดของกัลฟ์ 

ส่วนการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นายสารัชถ์ กล่าวว่า ในปี 2568 กลุ่มบริษัท GULF มีแผนขยายการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 70 ลำ หรือประมาณ 4-5 ล้านตัน จากปี 2567 นำเข้า 0.6 ล้านตัน โดยการนำเข้า LNG นั้น เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 5,300 เมกะวัตต์ ที่อยู่ภาคตะวันออก ประกอบด้วยโครงการ GSRC ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง 2,650 เมกะวัตต์ และโครงการ GPD กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจำนวน 2,650 เมกะวัตต์ รวมถึงนำไปใช้กับโครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่่ 1 ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 700 เมกะวัตต์ และใช้ในโรงไฟฟ้า SPP ของกลุ่ม GULF ทั้งหมด 

ทั้งนี้โรงไฟฟ้า IPP 5,300 เมกะวัตต์นั้นจากเดิมมีสัญญาซื้อ LNG จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แต่ปัจจุบัน GULF สามารถนำเข้ามาเองโดยไม่ต้องแก้ไขสัญญา เพราะเป็นการนำเข้าแบบเสรีอยู่แล้ว ส่วนแผนการนำเข้า LNG ในปี 2569 ยังมีแผนนำเข้าเท่ากับปี 2568 จำนวน 4-5 ล้านตัน