ผู้ชมทั้งหมด 3,578
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่แสวงหาโอกาสขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่เป็นธุรกิจหลัก และการขยายลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน โดยล่าสุดได้ประกาศเตรียมลงทุนในหุ้นสามัญทั้งหมดของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) คาดใช้เงินราว 1.69 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการขยายธุรกิจไปยังดิจิตอล โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนที่ยั่งยืน ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวหากรวมงบลงทุนในปี 2564 ที่เตรียมไว้ราว 3-4 หมื่นล้านบาท สำหรับการลงทุนโครงโรงไฟฟ้า IPP ก็จะส่งผลให้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 1.99 – 2.0 แสนล้านบาท
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในบริษัท ปตท.จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด (PTT NGD) เป็น 42% ขณะที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ถือหุ้น 58% ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งค่าผ่านท่อ และเป็นการรองรับการลงทุนในธุรกิจก๊าซฯ อย่างไรก็ตามการขยายการลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนหน้านี้ GULF ก็ได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง และโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาร่างสัญญา คาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาได้ประมาณช่วงปลายเดือน มิถุนายนนี้ รวมถึงโครงการมอเตอร์เวย์ สายบางปะอิน-นครราชสีมา และสายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่ร่วมลงทุนภายใต้กลุ่มกิจการร่วมค้า BGSR เป็นผู้ได้รับสัมปทานงาน O&M ทางอธิบดีกรมทางหลวงก็คาดว่าจะสามารถลงนามได้ภายในเดือน มิถุนายน 2564
ลุยขยายลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในเอเชีย – ยุโรป – อเมริกา
ขณะที่การลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าเมื่อช่วงเดือน มกราคม 2564 GULF ก็ได้ให้ Kolpos Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์เข้าซื้อหุ้นสามัญของ Global Mind Investment Management Pte. Ltd. (“GMIM”) ในสัดส่วนร้อยละ70.5 จาก Nech Opportunities Fund VCC ด้วยมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,200 ล้านบาท
โดย GMIM เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ซึ่งจดทะเบียนในประเทศ สิงคโปร์ มีการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานน้ำ และพลังงานลม รวมถึงธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือสินค้า และคลังสินค้า และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในประเทศเวียดนาม นอกจากการลงทุนในเอเชีย GULF ยังอยู่ระหว่างดีลซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ในยุโรป อเมริกา อีกด้วย
ฉายแว่วรายได้นิวไฮต่อเนื่อง 4 ปี
ขณะที่ผลประกอบการก็เติบโตเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เริ่มตั้งแต่ปี 2560 มีรายได้รวม 4,547 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้รวม 17,479 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้รวม 30,343 ล้านบาท และในปี 2563 มีรายได้รวม 33,370 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมรายได้ของปี 2564 นั้นนางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF คาดว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 50% หรือ อยู่ในระดับ 55,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2563
ทั้งนี้เนื่องจากจะได้รับปัจจัยหนุนของโครงการโรงไฟฟ้า IPP ที่จะทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปีนี้ ประกอบด้วยโครงการ GSRC หน่วยที่ 1 และ 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,325 เมกะวัตต์ ที่ COD ในเดือนมีนาคมและตุลาคม 2564 ตามลำดับ อีกทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ในเดือน พฤษภาคม และตุลาคม 2564 และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน จำนวน 326 เมกะวัตต์ (DIPWP) ระยะที่ 1 ที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ COD ในไตรมาส 2/2564 โดยการขยายลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้านั้นสิ้นปี 2564 GULF คาดว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งเพิ่มขึ้นเป็น 7,903 เมกะวัตต์
กูรูให้ราคาเป้าหมาย 43 บาท แนะนำซื้อมั่นใจโตก้าวโดด
นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า GULF จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน INTUCH นั้นเป็นการเข้าซื้อเพื่อเพิ่มมูลค่า และมีความเสี่ยงน้อยมากที่ GULF จะทำการเพิ่มทุน เนื่องจากบริษัทฯ ตั้งใจที่จะซื้อหุ้น INTUCH ในราคา Premium โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.5 เท่า ซึ่งยังเปิดโอกาสให้ GULF สามารถซื้อหุ้น INTUCH ได้ถึงสัดส่วนที่ 70% ด้วยการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ และจากการประมาณการณ์หาก GULF สามารถซื้อหุ้น INTUCH ได้ถึงสัดส่วนขั้นต่ำที่ 50% จะส่งผลให้มี Upside เพิ่มขึ้น 4.0 บาทต่อหุ้น
ส่วนผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดดต่อเนื่องในระยะยาว ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/2564 คาดกำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบกับช่วงไตรมาส 4/2563 จากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ที่ประเทศเยอรมนี ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 464 เมกะวัตต์ ประกอบกับได้รับปัจจัยหนุนจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง และได้ประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 43 บาท คงคำแนะนำซื้อ