ผู้ชมทั้งหมด 1,360
ESSO ปี64 อัดงบ1.2-1.5 พันล้านบาทเดินหน้าลุยขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มเป็น 700 กว่าสาขา ปรับปรุงปั๊มรูปแบบใหม่ ปรับปรุงโรงกลั่นเพิ่มประสิทธิภาพรองรับยูโร 5 ในปี 67 คาดยอดขายน้ำมันผ่านปั๊มเฉลี่ยปีนี้อยู่ในระดับ 260 ล้านลิตรต่อเดือน ขณะที่กำลังการกลั่น แตะ 117 KBD
นายอดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ESSO ตั้งงบลงทุนปี 64 วงเงินประมาณ 1,200-1,500 ล้านบาท สำหรับลงทุนขยายสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) และการปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งในปี 64 คาดว่าจะสามารถขยายปั๊มน้ำมันได้มากกว่า 700 สาขา จากปัจจุบัน อยู่ที่ 676 สาขา และสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 690 สาขา นอกจากนี้แล้วยังจะดำเนินการปรับปรุงปั๊มน้ำมันให้เป็นสถานีบริการรูปแบบใหม่
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มบริการใหม่ๆ ภายในปั๊มน้ำมัน โดยได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรในการเพิ่มร้านค้าและบริการในสถานีบริการน้ำมัน ทั้ง เบอร์เกอร์คิว แมคโดนัลด์ เคเอฟซี เดอะพิซซ่า คอมปะนี ,เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส แฟมิลี่มาร์ท เป็นต้น และล่าสุด ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่มไมเนอร์ฟู้ด เปิดร้านกาแฟใหม่ คือ Coffee Journey ซึ่งปัจจุบันเปิดไปแล้ว 2 สาขาที่รามอินทรา กม.6.5 และสาขาพระราม 9 พร้อมตั้งเป้าหมายขยายเป็น 12-15 สาขาภายในปีนี้
สำหรับยอดขายปลีกน้ำมันของเอสโซ่ (ขายน้ำมันผ่านปั๊ม) ปกติจะเติบโตตาม GDP ประเทศที่ขยายตัว 3-4% ต่อปี แต่ปีนี้ สถานการณ์โควิด-19 กระทบยอดขายในช่วงครึ่งปีแรก และยอดขายลดลงต่ำสุดในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจุบัน ยอดขายกลับมา 90% แล้ว หรืออยู่ในระดับ 260 ล้านลิตรต่อเดือนใกล้เคียงกับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 63 ก็คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ในระดับ 260 ล้านลิตรต่อเดือน จะสอดรับกับทิศทาง GDP ที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสั่งคมแห่งชาติ ประเมินว่าจะ ติดลบ 7- 8% ส่วนยอดขายธุรกิจค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น และการแข่งขันรุนแรงขึ้น จะเห็นโปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” ออกมากกระตุ้นยอดขาย ขณะที่มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐก็จะเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วงกระตุ่นการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้
ส่วนอัตราการกลั่นช่วง 8 เดือนแรกปี 63 นั้นอยู่ที่ 117,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ที่มีกำลังการกลั่น อยู่ที่ 114,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปี 64 กำลังการกลั่น จะอยู่ระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้น้ำมัน ซึ่งก็ต้องดูว่าไวรัสโควิด – 19 จะคลี่คลายมากน้อยเพียงใดมีผลต่ออุปสงค์ และอุปทานของการใช้น้ำมันในตลาดโลก ซึ่งเมื่อใดที่อุปสงค์ อุปทานไม่สมดุลกันก็จะกระทบต่อราคาน้ำมันได้
นอกจากนี้ ESSO ยังพร้อมลงทุนปรับปรุงคุณภาพน้ำมันมาตรฐาน ยูโร 5 ซึ่งในปัจจุบันก็ได้ทยอยเริ่มดำเนินการปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพื่อให้เสร็จทันตามเป้าหมายที่รัฐประกาศให้ทุกโรงกลั่นฯ ต้องผลิตน้ำมันตามมาตรฐาน ยูโร 5 ในวันที่ 1 ม.ค. 67
สำหรับภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ESSO ให้ความสำคัญในเรื่องของการทำงานที่มีความคล่องตัวแบบ agile และ resilience ที่สามารถปรับตัวเพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์การดำเนินงานและในเชิงรุกมากขึ้น การปรับปรุงการบริการจัดจำหน่ายน้ำมันเครื่องโมบิล และ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริการการขาย
รวมถึงการปรับแผนการผลิตของโรงกลั่นให้ทันเหตุการณ์ โดยปรับเปลี่ยนการกลั่นน้ำมันอากาศยาน (Jet) ไปกลั่นเป็นน้ำมันดีเซลแทน แต่ก็อาจมีผลต่อมาร์จิ้น เพราะโรงกลั่นส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนไปกลั่นดีเซลเพิ่มเช่นกัน ดังนั้น บริษัทก็อาจพิจารณาเรื่องการปรับเปลี่ยนการกลั่นน้ำมัน Jet ไปเป็นการกลั่นเบนซินแทน ซึ่งเป็นจุดแข็งของโรงกลั่นเอสโซ่ที่มีเทคโนโลยีและความยืดหยุ่นในการกลั่นที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องพิจารณามาร์จิ้นระหว่างดีเซลและเบนซินในแต่ละช่วงด้วย