EGCO ลุยวางแผนนำเข้า LNG ล็อตแรก ปี 2565

ผู้ชมทั้งหมด 1,251 

EGCO ลั่นพร้อมนำเข้า LNG ในปี 2565 คาดราคาก๊าซฯถูกลง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันธุรกิจไฟฟ้า หวังผลงานครึ่งปีหลังดีต่อเนื่อง คว้ากำลังผลิตใหม่เข้าเป้า 1,000 เมกะวัตต์

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า บริษัท เตรียมพร้อมนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) ในปี 2565 หลังจากได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper License) จากทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จำนวน 2 แสนตันต่อปี โดยมองว่า ราคาLNG น่าจะถูกลงและเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนค่าก๊าซฯ เสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับบริษัทในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมวิธีดำเนินการต่างๆ รวมถึงการเจรจากับพันธมิตรที่จะเป็นผู้ซัพพลาย LNG ให้กับบริษัทในอนาคตด้วย

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนนำเข้า LNG เนื่องจากราคาตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูงกว่าราคาเฉลี่ยในประเทศ (Pool GAS) เกือบ 2 เท่า และมีแนวโน้มที่ราคาจะทรงตัวระดับสูงไปจนถึงสิ้นปีนี้

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัท มั่นใจว่าจะเติบโตขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคาดว่า โครงการใหม่ๆจะทยอยเข้ามาในช่วงที่เหลือของปีนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ เพิ่มขึ้นในปีนี้อีก 1,000 เมกะวัตต์ จากต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น 28% ในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ซึ่งดำเนินการโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน กำลังการผลิต 972 เมกะวัตต์ คิดเป็นกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 272 เมกะวัตต์

“ขณะนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจา แม้สถานการณ์โควิด-19 อาจะทำให้การเจรจามีอุปสรรคบ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่า จะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย”

ประกอบกับ ยอดขายไฟโรงไฟฟ้าพลังน้ำในปีนี้มีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายไฟฟ้าในปีนี้เติบโตต่อเนื่อง ขณะที่โรงไฟฟ้าในต่างประเทศก็รับผลดีหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ก็จะเป็นปัจจัยหนุนรายได้ให้ปรับสูงขึ้น โดยมองว่าผลประกอบการจะเติบโตกว่าปี 2563 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8.7 พันล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย และเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

ปัจจุบัน บริษัท มีกำลังผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,016 เมกะวัตต์ ขณะที่เงินลงทุน 5 ปี (ปี2564-2568) อยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นเงินลงทุนในระดับปกติของบริษัทเพื่อใช้สำหรับขยายการเติบโต