ผู้ชมทั้งหมด 332
EGCO Group ดันกลยุทธ์ลงทุนปี 68 ทุ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท สร้างการเติบโตธุรกิจไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเดินหน้าเจราM&A หวังเพิ่มกำลังผลิตใหม่กว่า 1,000 เมกะวัตต์
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (นายโดนัลด์ ทรัมป์) ที่คาดว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะเติบโตในระดับที่ไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ให้เพิ่มการผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในประเทศ จะช่วยให้มีซัพพลายเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทำให้ส่งผลดีต่อราคาค่าเชื้อเพลิงโลกที่จะลดลง ขณะที่ประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัวประมาณ 2.3% – 3.3% ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เป็นทั้งความท้าทายและเป็นทั้งโอกาสดังกล่าว ทำให้ในปี 2568 EGCO Group ปรับทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570) โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างต่อเนื่อง และได้มีการปรับเปลี่ยนองค์กรในทุกมิติ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ด้วยกลยุทธ์ “Triple P” ได้แก่
• Profitability and Performance Energizing เพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อดูแลอัตราส่วนหนี้สิน (Debt to EBITDA) และรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัท ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ถือหุ้นด้วยนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
• Power and Energy-related Focus มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ EGCO Group ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในยุคเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป้าหมาย Net Zero Carbon ผ่านการลงทุนทั้งรูปแบบการควบรวมและซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions – M&A) และการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield) ตลอดจนแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดและเน้นการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 8 ประเทศ ทั้งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและในไทย เพราะเป็นตลาดที่มีโอกาสและมีศักยภาพสูง ด้วยงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท
• Portfolio and People Management บริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ (Asset Recycling) เพื่อนำรายได้ไปแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ และให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นเลิศในกระบวนการดำเนินงาน (Operational Excellence) พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ดังเห็นได้จาก การที่ EGCO Group ขายหุ้นในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ RISEC สหรัฐอเมริกา และโรงไฟฟ้าพลังงานลม Boco Rock ออสเตรเลีย คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 7,000 ล้านบาท เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะนำเงินไปใช้ลงทุนในโครงการใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในอนาคตต่อไป

สำหรับแผนการดำเนินงานและความก้าวหน้าของโครงการลงทุนต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในปี 2568 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของรายได้และกำไรของ EGCO Group อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
• การรับรู้รายได้เต็มปีจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย กำลังผลิต 74 เมกะวัตต์ จ.ระยอง
• การรับรู้รายได้เต็มปีจากการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอเมริกา
• การรับรู้รายได้เต็มปีเป็นปีแรกจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบครบสมบูรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง Yunlin กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ ในไต้หวัน
• การรับรู้รายได้จากการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนและการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ APEX ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 โครงการ กำลังผลิตรวม 841 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอเมริกา
• การเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ (หลังจากสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับปัจจุบันกับ Meralco ในเดือนพฤษภาคม 2568) กำลังผลิตรวม 400 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญา ซื้อขายไฟฟ้าใหม่ได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568
• EGCO Group มีความพร้อมสำหรับการลงทุนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศ RE Biglot รอบที่ 2 ในรูปแบบ Feed-in Tarff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงในส่วนพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ซึ่ง EGCO Group ได้รับการคัดเลือกก่อนหน้านี้แล้ว จำนวน 11 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 448 เมกะวัตต์
• สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ EGCO Group ได้ลงทุนผ่าน APEX ผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโครงการเรือธง (Flagship) ที่จะผลักดันให้ EGCO Group บรรลุเป้าหมายการเพิ่ม RE เป็น 30% ในปี 2573 โดย APEX มีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าจาก RE กว่า 56,000 เมกะวัตต์ จนถึงตอนนี้พัฒนาได้ราว 2,000 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น ยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยที่มีความต้องการเพิ่ม RE ใน Portfolio อีกด้วย

นอกจากนี้ บริษัท จะเดินหน้าแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ในรูปแบบ M&A ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ทันที ปัจจุบัน EGCO Group มีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาประมาณ 4-5 โครงการ รวมกำลังผลิตมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ในประเทศที่มีฐานธุรกิจและมีพันธมิตรอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนของการเจรจาและได้ข้อสรุป ประมาณไตรมาสที่ 2 ของปี 2568
ส่วนธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค ที่ดำเนินการผ่านบริษัท พีที จันทรา ดายา อินเวสตาสิ (PT Chandra Daya Investasi หรือ CDI) ในอินโดนีเซีย มีความก้าวหน้าในการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโซลาร์เซลล์บนทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar Farm) ในอ่างเก็บน้ำของธุรกิจผลิตและบำบัดน้ำครบวงจร กำลังผลิต 32 เมกะวัตต์ ซึ่งมีแผนจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 นอกจากนี้ CDI ยังมีแผนพัฒนาและขยายธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ด้วยการซื้อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ (Vessels) สำหรับขนส่งน้ำมัน ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม