ผู้ชมทั้งหมด 889
EGCO จ่อปิดดีลโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯเพิ่มหลังเจรจาอีก 2-3 โครงการ ช่วยหนุนกำลังการผลิตใหม่ในปีนี้ตามเป้า 1,000 เมกะวัตต์ ซุ่มดีลพันธมิตร EV เล็งลุงทุนธุรกิจผลิตแบตเตอรี่
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการ (M&A) หรือร่วมทุน 2-3 โครงการในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีทั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน เพื่อให้กำลังการผลิตเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1,000 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ โดยในปีนี้ EGCO สามารถลงทุนเพิ่มได้แล้ว 272 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการถือหุ้น 28% ในบริษัท ลินเดน ทอปโก้ (Linden Topco) ซึ่งดำเนินการโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน กำลังการผลิต 972 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน EGCO มีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,016 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายการเติบโตของกำลังการผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี
นอกจากพิจารณาโครงการ M&A ในประเทศสหรัฐฯ แล้ว EGCO ยังได้มองหาโอกาสขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศที่ EGCO มีฐานการลงทุนอยู่เดิมด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน โดยมั่นใจว่าปีนี้จะมีกำลังการผลิตเติบโตตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ซึ่งยังเหลือกำลังการผลิตอีก 728 เมกะวัตต์ โดยโครงการลงทุนใหม่ตามนโยบายของบริษัทต้องมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 10%
“การขยายการลงทุนของ EGCO จะมุ่งเน้นในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนอยู่เดิมของบริษัท เนื่องจากจะทำให้มีความได้เปรียบในเรื่องของการแข่งขัน เพราะมีพันธมิตรที่รู้จักกันจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าไปลงทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งการลงทุนในโรงไฟฟ้าลินเดน โคเจนก็จะเป็นใบเบิกทางในการเจรจาเข้าไปลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี” นายเทพรัตน์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/2564 และช่วงครึ่งหลังของปีนี้ พบว่ารายได้ยังคงเติบโตตามเป้า หลังจากผลกระทบโควิด-19 ลดลง ประกอบกับกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เติบโตเพิ่มขึ้น หลังจากมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามา ส่วนภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตมากกว่าปี 2563 อย่างแน่นอน โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 39,819 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 8,738 ล้านบาท
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมปรับเป้าหมายสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมตั้งเป้าหมายไว้ที่ 25% ภายในปี 2573 ซึ่งปัจจุบันนั้นบริษัทมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอยู่ที่ 22-23% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่ในมือ อย่างไรก็ตามสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของ EGCO ก็มีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายมากกว่า 30% แต่จะขอดูสัดส่วนพลังงานทดแทนที่จะเข้ามาในปีนี้ก่อน
ส่วนกรณีที่กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2022) ซึ่งถ้าหากเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนมากขึ้น EGCO ก็สนใจและพร้อมที่จะเข้าไปลงทุน แต่ก็ต้องรอความชัดเจนของแผนก่อน อย่างไรก็ตามการจัดทำแผนพีดีพี 2022 หากมีการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนรัฐควรจะพิจารณาเรื่องราคาค่าไฟฟ้าด้วย เนื่องจากปริมาณสำรองไฟฟ้าของประเทศขณะนี้สูงถึง 40% การเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนอาจยังไม่มีความจำเป็นเพราะอาจจะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
นายเทพรัตน์ กล่าวว่า บริษัท มีความสนใจที่จะศึกษาเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Value Chain ซึ่งขณะนี้กำลังติดตามดูโอกาสความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ทิศทางของตลาด และนโยบายขอภาครัฐ โดยในขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรอยู่หลายราย เพื่อหาโอกาสเข้าลงทุนในธุรกิจแบตเตอรี่ ซึ่งจะเป็นทั้งแบตเตอรี่ที่รองรับรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) และแบตเตอรี่สำหรับโรงไฟฟ้า คาดว่าจะได้ความชัดเจนภายในปีนี้
อย่างไรก็ตามการลงทุนในธุรกิจอีวีนั้นก็รอดูความชัดเจนของนโยบายภาครัฐก่อน และต้องรอดูนโยบายจากการไฟฟ้าผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ด้วยในฐานเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจอีวียังสามารถร่วมมือกันภายในเครือ กฟผ. โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่มีกฟผ. ถือหุ้น 40% และมีบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH และ EGCO ถือหุ้นฝ่ายละ 30%