CV ตั้งเป้ารายได้ปี66 โต 15% รับรู้รายได้รง.RDF และModular

ผู้ชมทั้งหมด 614 

“โคลเวอร์ เพาเวอร์” ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 โต 15% เตรียมรับรู้รายได้โรงงานRDF จ.พิจิตร เปิดCOD ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ขณะที่งานก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular) คาดโกยรายได้ 150 ล้านบาทปีนี้ พร้อมรับรู้รายได้ขาย เชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ลั่นยังรอลุ้นผลประมูลโรงไฟฟ้าขยะอุตฯ คาดชัดเจนปลายมี.ค.นี้

นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) CV เปิดเผยในงาน Oppday Year End 2022 บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) CV เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2566 โดยระบุว่า บริษัท ตั้งเป้าหมายในปี 2566 จะมีรายได้เติบโต 15% จากปี 2565 โดยเป็นผลมาจากธุรกิจเชื้อเพลิง (Fuel Supply) ในส่วนของโรงงาน RDF 3 ที่จ.พิจิตร จะเริ่มเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในช่วงเดือน เม.ย.นี้ และจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และในส่วนของธุรกิจวิศวกรรม (Value EPC) โดยเฉพาะงานก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular) คาดว่าจะเริ่มมีรายได้เข้ามาในปีนี้ 150 ล้านบาท รวมถึงรายได้จากการขายเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ที่เวียดนามเข้ามา ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ในปีนี้

อีกทั้ง ในปีนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนในส่วนของธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 3 โครงการ กำลังผลิต 19.8 เมกะวัตต์ หลังจากได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) กับภาครัฐ คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างได้ในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ใช้เชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ซึ่งขณะนี้เชื้อเพลิงมีราคาสูง จึงต้องติดตามสถานการณ์ หากไม่คุ้นค่าในการลงทุนก็อาจจะต้องชะลอการลงทุนออกไป คาดว่า ในปีนี้จะมีความชัดเจนในการตัดสินใจลงทนโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ญี่ปุ่น

นอกจากนี้ บริษัท ยังอยู่ระหว่างรอผลพิจารณาโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมรอบสุดท้าย จำนวน 2 โครงการที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกในเบื้องต้น คาดว่าภาครัฐจะประกาศได้ในช่วงปลายเดือนมี.ค.นี้ กำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ โดยหากบริษัทได้รับสิทธิ์ให้ดำเนินโครงการดังกล่าว จะทำให้เกิดการ Synergy ร่วมกันระหว่างโรงงานผลิต RDFของบริษัท และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมกับโรงไฟฟ้าชุมชน รวมถึงยังมี โครงการ ESCO ขนาด 9.9 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้า

“การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่นั้น บริษัท ยังไม่มีแผนเพิ่มทุนในปีนี้ เนื่องจากทุนของบริษัทยังมีเพียงพอ แต่จะมุ่งเรื่องของการหาพันธมิตรเข้ามาช่วยซัพพอร์ตการลงทุนและซัพพอร์ตเรื่องการจัดการเชื้อเพลิงที่เป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนโรงไฟฟ้าขยะและชีวมวล”

อย่างไรก็ตาม ยังมีในส่วนของ New – s – Curve ที่มีโอกาสเติบโตรวดเร็ว ก็จะเป็นในส่วนของการก่อสร้างแบบแยกส่วน (Modular Construction) ที่ได้เริ่มเปิดตลาอดแล้ว ที่ผ่านมาก็ดำเนินการกับ 2 ส่วน คือ ปั๊มน้ำมันของเชลล์ และแคมป์คนงาน มูลค่าโครงการราว 50 ล้านบาท ในปีนี้ก็คาดว่าจะได้ลูกค้าเพิ่มเติมเข้ามา รวมถึงลูกค้าเดิมที่จะมีโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติมด้วย ซึ่งธุรกิจนี้ ตอบโจทย์การความต้องการของลูกค้า เพราะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3-4 เดือนก็เสร็จสิ้นโดยเร็ว

นายธีรภัทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับสาเหตุที่บริษัท ของดจ่ายเงินปันผลในปี2565 เนื่องจากมองว่า ในปี 2566 บริษัทยังมีแผนการลงทุนรออยู่ทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม ที่รอประกาศผลจากภาครัฐ ทำให้ยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการขายการเติบโตของธุรกิจไฟฟ้า แต่หากปีถัดไปบริษัทมีกำไรและมีกระแสเงินสดเพียงพอก็พร้อมพิจารณาจ่ายเงินปันผลต่อไป