BPP ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ เพิ่ม ลุ้นปิดดีลปีนี้ 200 – 300 เมกะวัตต์

ผู้ชมทั้งหมด 51 

BPP ลุยลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ในสหรัฐฯ วางเป้า 1,500 เมกะวัตต์ ในปี 73 แย้มปีนี้มีลุ้นปิดดีล 200 – 300 เมกะวัตต์ คาดความต้องใช้ไฟฟ้าพุ่ง มั่นใจรายได้ปี 68 โตกว่าปี 67 ชี้นโยบายทรัมป์เป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจกลุ่มบ้านปู

นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กล่าวว่า BPP ขับเคลื่อนการเติบโตตามแนวทางการดำเนินธุรกิจ Beyond Quality Megawatts โดยมุ่งมั่นบริหารพอร์ตโฟลิโอให้มีความสมดุลและครอบคลุมมากไปกว่าการขยายกำลังผลิตไฟฟ้า เพื่อมีความยืดหยุ่นในการหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดได้อย่างมั่นคงในระยะยาว

โดยในปี 2568 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ราว 200 – 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับขยายการลงทุน โดยเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงาน วางเป้าหมายมีกำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ ในปี 2573 ซึ่งในปี 2568 คาดว่าจะมีกำลังผลิตใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างน้อย 200 – 300 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ

นอกจากนี้ก็มีแผนลงทุนพลังงานหมุนเวียนและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง (Renewables+) เดินหน้าสร้างห่วงโซ่ธุรกิจพลังงานที่แข็งแกร่ง โดยเน้นการลงทุนในโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) การลงทุน เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) ทั้งในประเทศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ

สำหรับการลงทุนในปีนี้สัดส่วนการลงทุนราว 60% จะเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ อีก 40% ลงทุนในพลังงานหมุนเวียน โดยมุ่งเน้นขยายการลงทุนในสหรัฐฯ และมองหาโอกาสขยายการลงทุนในประเทศจีน ญี่ปุ่น รวมถึงการขยายการลงทุนในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนของกลุ่มบ้านปู อย่างในประเทศจีนก็มองเห็นโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มเติมของธุรกิจในจีนจากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ส่วนประเทศญี่ปุ่นก็มองหาโอกาสขยายการลงทุนโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มขนาดใหญ่ (BESS) และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading) เพิ่มอีก เพื่อสร้าง New S-curve ให้กับบริษัทฯ โดยล่าสุดญี่ปุ่นมีการลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปีนี้ ส่วนธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ปัจจุบันมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง นอกจากนี้บริษัทยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาเสริมการดำเนินงานของบริษัทด้วยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

แนวโน้วตลาดซื้อขายไฟฟ้าในสหรัฐ

นายอิศรา กล่าวว่า สำหรับตลาดไฟฟ้าในสหรัฐฯ นั้น BPP คาดว่าราคาซื้อขายไฟมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นสอดรับกับเทรนด์เทคโนโลยีพลังงานและดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ โดยแนวโน้มราคาซื้อขายไฟล่วงหน้าในตลาดไฟฟ้าเสรี ERCOT สูงขึ้นเกือบเท่าตัวในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 15-17% ภายในปี 2573 เนื่องจากสหรัฐฯ ขยายการลงทุน Data Centers เพิ่มขึ้น โดยรัฐเท็กซัสมีการเติบโตของ Data Centers ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐฯ

ส่วนรายได้รวมในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าในปี 2567 ที่มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตลาดไฟฟ้าสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามการเติบโตนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสภาพอากาศในแต่ละปี รวมถึงการเตรียมความพร้อมของโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าด้วย ขณะเดียวกันในปีนี้หากสามารถปิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าได้สำเร็จก็จะเป็นอีกปัจจัยช่วยสนับสนุนรายได้เติบโต อย่างไรก็ตามในระยะยาวบริษัทฯ ตั้งเป้า EBITDA ในปี 2573 เติบโต 1.8 เท่าเทียบกับฐานของปี 2565 – 2566    

“ธุรกิจไฟฟ้าในเอเชียในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการขยายการลงทุนเริ่มลดลง ขณะที่ยุโรปเศรษฐกิจมีปัญหา มีความยุงยากในการเข้าไปลงทุน ส่วนในสหรัฐฯ ในภาพรวมมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้น ลักษณะการทำธุรกิจในสหรัฐฯ มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจ และภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 ก็สนับสนุนพลังงานจากฟอสซิลมากขึ้น ส่งเสริมการลงทุน Data Centers มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้มากขึ้นก็จะส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ” นายอิศรา กล่าว