ผู้ชมทั้งหมด 796
BGRIM กำเงิน 500-1,000 ล้านดอลลาร์ เตรียมเข้าซื้อกิจการ M&A อีก 500-1,000 เมกะวัตต์ ทั้งไทยและต่างประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนเป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้ารวมในมือแตะ 1 หมื่นเมกะวัตต์ ในปี 2573 มั่นใจปีนี้ยอดขายไฟฟ้าโต 10-15%
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2564 โดยระบุว่า แผนขยายการลงทุนในระยะสั้นช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัท อยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A)ในโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กำลังการผลิตรวมประมาณ 500-1,000 เมกะวัตต์ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนอยู่ที่ราว 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมกะวัตต์ หรือ ประมาณ 500-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
โดยในส่วนของประเทศไทย เป็นโรงไฟฟ้า SPP ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจา 3-4 โครงการ กำลังผลิตรวม 300-350 เมกะวัตต์ คาดว่าจะมีความชัดเจนในครึ่งปีหลังนี้ และยังมีโอกาสใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก 200-300 เมกะวัตต์ รวมถึงยังมีโอกาสจากการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าประเภทโซลาร์รูฟท็อป และโรงไฟฟ้าประเภท Captive Cogeneration เพื่อขายไฟฟ้าให้กับลูกค้านิคมอุตสาหกรรม (IU)
รวมถึงในมาเลเซีย ยังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าก๊าซฯ ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร กำลังการผลิตรวม 200-250 เมกะวัตต์ และเกาหลีใต้ ยังมีการเจรจาในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 100-150 เมกะวัตต์ในเฟสแรก ซึ่งยังมีโอกาสต่อยอดการลงทุนในระยะยาวกับพันธมิตรได้อีก ขณะที่ในเวียดนามเป็นการเจรจาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตประมาณ 100-150 เมกะวัตต์
ส่วนแผนขยายการลงทุนในระยะกลาง บริษัทก็มองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาจากในประเทศเวียดนาม คือ โครงการ GAS TO POWER ที่จะใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำหรับการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ กำลังการผลิตประมาณ 2,000-3,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันอยู่ในการเจรจาขั้นตอนสุดท้าย และรอการพิจารณาของรัฐบาลเกี่ยวกับการอนุมัติแผนพลังงานฉบับที่ 8 ของเวียดนาม
นอกจากนี้ แผนขยายการลงทุนในระยะยาว บริษัท ยังมองโอกาสทั้งในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา ยุโรป อเมริกา ทั้งในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการพัฒนาโครงการใหม่ (Greenfield)
“แผนดังกล่าวเรามั่นใจว่า จะผลักดันให้บริษัท บรรลุเป้าหมายมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือแตะ 1 หมื่นเมกะวัตต์ในปี 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2573 และหนุนเป้าหมายรายได้ต่อปีกว่า 100,000 ล้านบาท”
สำหรับผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ บริษัทคาดว่า ในส่วนของยอดขายไฟฟ้าทั้งปีจะเติบโต 10-15% จากปีก่อน แม้ว่าในเดือนสิงหาคมนี้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้บางโรงงานต้องหยุดการผลิตลง แต่ยอดขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ที่เป็นลูกค้าเก่าเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 15 เมกะวัตต์ จากครึ่งปีแรกที่มียอดขายไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว 31.5 เมกะวัตต์
รวมถึง บริษัท ยังรับรู้รายได้จากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม บ่อทองวินด์ฟาร์ม 1 และ 2 มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 16 เมกะวัตต์ ในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะรับรู้รายได้ประมาณ 250-300 ล้านบาทต่อปี และหากสามารถลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในโครงการที่อยู่ในเป้าหมายช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้เพิ่มเติมก็เชื่อมั่นว่าจะหนุนรายได้ของปีนี้ให้เติบโตต่อเนื่อง