BBGI เปิดโครงการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน หนุนธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ผู้ชมทั้งหมด 231 

BBGI เดินหน้าเปิดโครงการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน สานต่อนโยบายการดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตแข็งแกร่ง ยั่งยืน ดีเดย์ กิจกรรมวันแม่เดือนสิงหาคมนี้ จับมือประชาชน หมู่ 6 บ้านหนองหมู จ.กาญจนบุรี ร่วมปลูกป่า ใช้น้ำสารปรับปรุงดินจากบริษัทฯ เพิ่มการเจริญเติบโตให้ต้นไม้

นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI
 ผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ และผู้สร้างสรรค์ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงที่ส่งเสริมสุขภาพรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า BBGI ได้เปิดโครงการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน เพื่อสานต่อนโยบายการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน และจะเป็นโครงการระยะยาวร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น

โดย BBGI วางแผนจัดกิจกรรมปลูกป่าครั้งแรกภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) บ่อพลอย ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BBGI ที่จะจัดกิจกรรมในเดือนมหามงคล สิงหาคม 2566 ด้วยการปลูกต้นยูคาฯ ในกิจกรรมวันแม่ร่วมกับประชาชนในชุมชน หมู่ที่ 6 บ้านหนองหมู จ.กาญจนบุรี

พร้อมกันนี้ จะใช้น้ำสารปรุงดินซึ่งเป็นน้ำหมักจากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์ของบริษัทฯ แต่เป็นประโยชน์สำหรับต้นไม้ มาใช้รดต้นไม้เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสารอาหารอินทรีย์ในดินทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี และสร้างการเจริญเติบโตแข็งแรงให้กับต้นไม้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และถือเป็นการจัดการของเหลือจากการผลิตของบริษัทฯ ให้เกิดประโยชน์ในทางที่ดีด้วย

“โครงการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน หมู่ที่ 6 บ้านหนองหมู สนับสนุนการปลูกป่าเศรษฐกิจชุมชน และจัดตั้งกองทุนเพื่อนำงบประมาณที่ได้จากการปลูกต้นยูคาฯนั้นมาพัฒนาชุมชน สังคม ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งโครงการนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ชุมชน และบริษัท บีบีจีไอ ไบโอเอทานอล จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสืบต่อไป” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBGI กล่าว

อย่างไรก็ตาม BBGI ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2593 (ค.ศ.2050) ซึ่งขณะนี้การบริหารธุรกิจได้มุ่งหน้าสู่เป้าหมายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ การปรับปรุงประสิทธิภาพต่างๆ ในกระบวนการผลิต และใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงได้ 15% ในปี 2569 และ 30% ในปี 2573 ในขณะที่อีก 70% ต้องมีกลไกอื่นที่จะมาช่วยสนับสนุน เช่น การลงทุนในธุรกิจพลังงานสีเขียว และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต