ผู้ชมทั้งหมด 1,916
“บีบีจีไอ” ลุยเจรจาหาพันธมิตร 2-3 ราย ร่วมลงทุนจัดตั้งโรงงาน CDMO ในไทย มูลค่าราว 1-2 พันล้านบาท ต่อยอดธุรกิจไบฟิว ไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน EBITDA ธุรกิจ High Value Bio-Based Products แตะ 50% ใน 5ปี พร้อมมองหาพันธมิตรในไทย ร่วมพัฒนาธุรกิจต้นน้ำ เล็งเปิดให้นักลงทุนจองหุ้นต้นเดือนมี.ค.นี้
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจากฯ เปิดเผยว่า กลุ่มบางจากฯ ดำเนินธุรกิจโดยมีเป้าหมายในการสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงสร้างธุรกิจหลัก 5 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ธุรกิจการตลาด ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียว ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ซึ่งถือเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทำให้เกิดความร่วมมือกับกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น (กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น) ผู้ประกอบการชั้นนำในอุตสาหกรรมน้ำตาลรายใหญ่ของไทยขึ้น เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง (High Value Bio-based Products) ผ่านการควบรวมบริษัท (Amalgamation) เพื่อตั้งบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) (BBGI)
บีบีจีไอฯ ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding Company เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล ซึ่งสนับสนุนให้ BBGI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศไทย และต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยนำเอาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology: SynBio) มาใช้ เพื่อผลักดันให้ BBGI เป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง สอดรับกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ของภาครัฐ และมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับกลุ่มบางจากฯ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยนำจุดแข็งของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศ มาช่วยสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้แก่ BBGI จากฐานการผลิตของโรงงานน้ำตาลรวม 5 แห่ง ซึ่งมีอัตราการหีบอ้อยรวม 131,500 ตันอ้อยต่อวัน โดยมีคาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2565 อยู่ที่ 6.14 ล้านตันอ้อย
นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าBBGI มีข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันจากการที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกลุ่มบางจากฯ และกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น ซึ่งเป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำของผลิตภัณฑ์เอทานอลและไบโอดีเซล รวมกับการนำความรู้และประสบการณ์กว่า 17 ปีด้านเทคโนโลยีชีวภาพของ BBGI เอง มาต่อยอดโดยใช้เทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ในอนาคต
โดย BBGI มีเป้าหมายที่จะเริ่มโครงการโรงงานพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (Contract Development and Manufacturing Organization (CDMO)) ซึ่งสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงต่างๆ เช่น เอนไซม์, คอลลาเจน, เวย์โปรตีนจากนม, โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก โดยโรงงาน CDMO นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและกำลังการผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดการเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ และลดต้นทุนได้ดีกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม
“ขณะนี้ เราอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะร่วมทุนกับพันธมิตรรายใด หลังจากอยู่ระหว่างเจรจา 2-3 เจ้าที่มีความชำนาญในการทำ CDMO และมีฐานอยู่ในยุโรป สหรัฐฯ ซึ่งเขาก็สนใจมองหาพันธมิตรในไทย โจทย์ของเราก็กำลังดูว่าจะเลือกไปกับใครที่จะต่อยอดโรงงานไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง ซึ่งการจัดตั้งโรงงานจะใช้เงินลงทุนไม่มาก ราว 1,000-2,000 ล้านบาท ส่วนพื้นที่นั้น ก็อาจใช้ฐานพื้นที่เดิมของบริษัทที่มีอยู่หลายจังหวัด หรือ อาจจะเป็นพื้นที่ใหม่ก็ได้อยู่ที่ความเหมาะสม ซึ่งขณะนี้ ก็ได้เริ่มทำการศึกษาแล้ว”
นอกจากนี้ BBGI ยังมองหาพันธมิตรร่วมลงทุนในประเทศไทย ที่จะเป็นการทำธุรกิจต้นน้ำ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก คือ “มนัสไบโอ” ในการจัดทำแพลฟอร์ม SynBio ไปแล้ว โดยปัจจุบัน BBGI ก็มีความร่วมมือกับ “ไบโอม” ของจุฬาฯ ที่ร่วมกับพัฒนาน้ำยาล้างสารเคมีในผักและผลไม้ ซึ่งในอนาคตก็อาจจะกลายเป็นพันธมิตรร่วมทุน ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มพูดคุยเรื่องการออกผลิตภัณฑ์สำหรับวางจำหน่ายผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงดูเรื่องของการจำหน่ายแบบ B2C ไปถึงผู้บริโภคโดยตรงด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัท ตั้งเป้าหมายจะมีสัดส่วน EBITDA จากธุรกิจ High Value Bio-Based Products แตะ 50% ในพอร์ตของ BBGI ภายใน 5 ปี และมั่นใจว่าเป็นไปได้ เพราะหากดูจากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี BBGI มีรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ต่อเนื่อง แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 – 2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 152 ล้านบาท 387 ล้านบาท และ 845 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 100% ต่อปี ขณะที่งวด 9 เดือนปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 903 ล้านบาท เติบโต 59% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ BBGI มีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และพร้อมที่จะเติบโตอย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต
ม.ล. ทองมกุฎ ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า BBGI ถือเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ที่มีความแข็งแกร่งด้านองค์ความรู้และประสบการณ์เทคโนโลยีชีวภาพมาอย่างยาวนาน เป็นบริษัทที่มีส่วนผสมทั้งธุรกิจที่มั่นคงและมีรายได้ที่แข็งแกร่งอย่างเช่นธุรกิจ Biofuel ที่ถือได้ว่าเป็น Cash cow ของกลุ่มบริษัทฯ และธุรกิจ High Value Bio-Based Products ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างดี และยังมีศักยภาพการเติบโตอีกมาก ทำให้ BBGI เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่มีความโดดเด่น ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด มีความมั่นใจว่า BBGI จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมอีกตัวหนี่งในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับความคืบหน้าระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ BBGI นั้น ได้ผ่านกระบวนการ ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง)ต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แล้ว จากนั้น ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนเสนอขายหุ้นต่อประชาชน คาดว่า จะเปิดให้จองซื้อได้ประมาณต้นเดือนมี.ค.นี้