ผู้ชมทั้งหมด 196
AOTGA เปิดตัว “ศูนย์มัลติโมดอล” แห่งแรกในไทย เชื่อมขนส่งแบบไร้รอยต่อ บก ราง น้ำ อากาศ ผ่านด่านศุลกากรครบวงจรในจุดเดียว หนุนไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และ Aviation Hub ของภูมิภาคอย่างแท้จริง
เมื่อวันที่ 5 ก.ย. ณ เขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โซน 3) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) บริษัทบริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด หรือ AOTGA ร่วมกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และกรมศุลกากร ร่วมเปิดตัวศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า หรือ Multimodal Transportation Center (มัลติโมดอล ทรานสปอร์ตเทชั่น เซ็นเตอร์) ศูนย์บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนครบวงจร
โดยนายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (บพท.) หรือ AOTGA ผู้ให้บริการภาคพื้นท่าอากาศยาน และบริการคลังสินค้าในท่าอากาศยาน (Cargo Terminal) กล่าวว่า จากที่กรมศุลกากรได้อนุญาตให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นผู้จัดตั้ง ศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้มอบหมายให้ บพท. เป็นผู้ดำเนินการศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในไทย โดยจับมือกับ 3 ยักษ์ใหญ่ ได้แก่ FedEx, DHL และ AGS ที่เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน รองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ทั้งทางบก ราง น้ำ อากาศ การรวมตู้สินค้า และการเก็บรักษา พร้อมดำเนินพิธีการทางศุลกากรเบ็ดเสร็จในจุดเดียว สามารถรองรับปริมาณการขนส่งได้กว่า 50,000 ตันต่อปี สร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจ หนุนการเติบโตของ E-Commerce ยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และเป็น Aviation Hub ของภูมิภาคอย่างแท้จริง
นายสิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ศูนย์ฯดังกล่าวใช้งบลงทุนกว่า 150 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 4,872 ตารางเมตร ศูนย์มัลติโมดอล แบ่งเป็นพื้นที่ให้บริการ 2 ส่วน ได้แก่ 1. Fixed Area พื้นที่สำหรับผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชนที่เป็นผู้ร่วมประกอบกิจการศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า และ 2. Public Area พื้นที่ที่ทาง AOTGA ให้บริการเอง ทั้งนี้ตั้งเป้าให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนส่งทั้งในและต่างประเทศที่เป็นตัวแทนในการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) และ ผู้ประกอบการของเร่งด่วน (Express Consignment) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นจากการมุ่งเน้นใช้ประเทศไทยเป็น HUB ในกลุ่มประเทศ CLMV และโฟกัสไปยังกลุ่มสินค้า E-Commerce จากปัจจัยเกื้อหนุนด้านการบิน และเครือข่ายการบินที่เชื่อมโยงสู่ทวีปอื่นๆ โดยเฉพาะทวีปยุโรป นอกจากนี้ AOTGA ยังได้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาให้บริการในศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า อาทิ ระบบติดตามทางศุลกากรจากด่านศุลกากรมายังศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้าด้วยระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (E-lock System) และระบบควบคุมสินค้าคงคลัง (E-Inventory)
ด้านนายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี กรมศุลกากร กล่าวว่าศูนย์ฯดังกล่าว จัดตั้งขึ้นตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 115/2564 เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า และเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค นับเป็นความร่วมมือที่สร้างปรากฎการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่จะช่วยสนับสนุนกระบวนการนำเข้าและส่งออกสินค้าให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการดำเนินพิธีการทางศุลกากร ทำให้ Ecosystem มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งกรมศุลกากรมีความยินดีให้การสนับสนุนภาคเอกชนและตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าในระดับภูมิภาค