ผู้ชมทั้งหมด 889
AOT ตรวจความพร้อม “สุวรรณภูมิ” รับมือผู้โดยสารเดินทางช่วงสงกรานต์คาดพุ่ง 1.34 ล้านคน เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ใกล้เคียงปี 62 ขณะที่ผู้โดยสารวันที่ 11 เม.ย. 67 สูงกว่า 1.9 แสนคนต่อวัน ชี้ส่งสัญญาณบวกต่อเนื่อง
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ว่า AOT มีความพร้อมในการรองรับผู้โดยสารที่เดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว (11-17 เม.ย.67) คาดว่าจะมีผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 1,340,000 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับช่วงปกติ และเพิ่มขึ้น 37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามในวันที่ 11 เมษายน 2567 มีปริมาณผู้โดยสารมาใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิราว 192,322 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 ปี 2562 โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 159,836 คน ผู้โดยสารภายในประเทศ 32,486 คน และมีเที่ยวบินประมาณ 1,003 เที่ยวบิน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 769 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 234 เที่ยวบิน โดยคาดว่าวันที่ 16 เมษายน 2567จะมีประชาชนเดินทางกลับถิ่นฐานมากที่สุด
“ตัวเลขผู้โดยสารในปัจจุบันเรียกได้ว่ากลับเข้าสู่ปกติแล้วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด – 19 ความต้องการอยู่ในระดับที่สูงทาง AOT ก็พร้อมจะรองรับกับผู้โดยสารที่เกิดขึ้น ปริมาณผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศก็เป็นทิศทางที่ดีที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการเปิดฟรีวีซ่า ซึ่งจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ผู้โดยสารจากประเทศจีน อินเดีย คาซัคสถาน และประเทศต่างๆ ที่ได้รับฟรีวีซ่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างปริมาณผู้โดยสารจีนจากต้นปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของนโยบายรัฐบาลในเรื่องของการเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว AOT ในฐานะที่เป็นประตูของการเดินทางก็มีความพร้อมในการต้อนรับผู้โดยสาร” นายกีรติ กล่าว
นายกีรติ กล่าวว่า เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น และรองรับการเป็นศูนย์กลางการบิน (ฮับ) ในภูมิภาคอาเซียน AOT ได้มีการติดตั้งเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยอำนวยความสะดวกและทำให้ผู้โดยสารใช้ระยะเวลารอคอยน้อยที่สุด อาทิ ระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Terminal Equipment: CUTE) ระบบเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) ระบบรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) และระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated biometric Identification System) เป็นต้น ซึ่งช่วยให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
ทั้งนี้การติดตั้งระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลนั้นสำหรับการเดินทางภายในประเทศมีอยู่ 12 เครื่องเพียงพอต่อการรองรับผู้โดยสารในปัจจุบัน และคาดว่าจะเปิดใช้เต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2567 ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศจากเดิมมี 8 เครื่องจะติดตั้งเพิ่ม 16 เครื่องภายในปีนี้ นอกจากนี้ AOT อยู่ระหว่างดำเนินการติดตั้งระบบ Auto Gate จำนวน 80 ตัวให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2567 จะส่งผลให้กระบวนการตรวจค้นคนเข้าเมืองก็จะเร็วขึ้น และจะช่วยให้มีความรวดเร็วมากขึ้นในขั้นตอนต่างๆ ของผู้โดยสารที่มาใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
อย่างไรก็ตามในส่วนของกระบวนการเช็กอินนั้นทาง AOT ยังได้ขอความร่วมมือกับทางผู้ให้บริการสายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้นให้เปิดเคาน์เตอร์เช็กอินเร็วขึ้นจาก 3 ชั่วโมงเป็น 4 ชั่วโมง เพื่อทำให้เที่ยวบินต่างๆ สามารถเข้าเช็กอินได้เร็ว การตรวจค้นผู้โดยสาร AOT มีการลดขั้นตอนในการตรวจค้น ปัจจุบันจุดตรวจค้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไม่ต้องถอดรองเท้ายกเว้นรองเท้าบูท ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็ได้เพิ่มจำนวนบุคคลากร 200 คนรองรับการตรวจค้น
โดยจากการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทั้งหมดที่กล่าวมาและการเพิ่มบุคคลากรส่งผลให้ระยะเวลาระหว่างตรวจค้นลดลง ซึ่งระยะเวลาเฉลี่ยของกระบวนการผู้โดยสารขาออกลดลงจากเดิมอยู่ที่ประมาณ 50 นาที/คนไปอยู่ที่ประมาณ 37 นาที/คน ซึ่งต่ำกว่าที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้กำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับผู้โดยสารขาออกที่ 60 นาที/คน และผู้โดยสารขาเข้า 45 นาที/คน โดยในอนาคต AOT มีเป้าหมายให้อยู่ในระดับ 30 นาที/คน
นอกจากนี้เพื่อรองรับการเดินทางที่มาใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้น AOT ได้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยตอบโจทย์การเดินทางที่สะดวกสบายแก่ผู้โดยสารผ่านแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ซึ่งผู้โดยสารสามารถเช็กข้อมูลและสถานะเที่ยวบินแบบ Real-time พร้อมระบบแจ้งเตือนแบบอัจฉริยะเมื่อใกล้เวลาเดินทาง สามารถค้นหาข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ภายในสนามบิน เช่น ข้อมูลรถสาธารณะ ข้อมูลจุดอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน รวมถึงร้องเรียนและติชมการให้บริการ เพื่อช่วยวางแผนการเดินทางให้ง่ายขึ้น
นายกีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT ยังได้พัฒนาระบบการจัดการข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจร่วมกันของผู้มีส่วนได้เสียในท่าอากาศยาน (Airport Collaborative Decision Making: A-CDM) เพื่อนำมาใช้พัฒนากระบวนการทำงานภายในท่าอากาศยาน โดยมีหลักการพื้นฐานคือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในท่าอากาศยานแบบเรียลไทม์ (Real-time) สามารถสื่อสารและประสานงานเพื่อตัดสินใจร่วมกันระหว่างผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งในส่วนของผู้ดำเนินการท่าอากาศยาน สายการบิน ผู้ให้บริการภาคพื้น ผู้ให้บริการการจราจรทางอากาศ ส่งผลให้การบริหารจัดการเที่ยวบินและการบริหารจัดการทรัพยากรของท่าอากาศยานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยกระดับเรื่องความตรงต่อเวลาในการให้บริการ (On-Time Performance) รวมถึงสามารถนำข้อมูลมาคาดการณ์ (Predictability) วางแผน
ด้านนายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เพื่อให้การบริการช่วงเทศกาลสงกรานต์เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (Operations Command Center) หรือ OCC ซึ่งเป็นศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าและขาออกไม่ให้เกิดความแออัด ตลอดจนดูแลด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมถึงดูแลความปลอดภัยภายในท่าอากาศยาน รองรับการเดินทางของผู้โดยสารในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้ได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งภายในศูนย์จะมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเวรตรวจติดตามผ่านกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร ทสภ. ได้เปิดลานจอดรถระยะยาวโซน D ให้ผู้ใช้บริการสามารถนำรถยนต์มาจอดได้ฟรีในช่วงระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายน 2567 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันอังคารที่ 16 เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้น 5 วัน ทั้งนี้ ทสภ. ได้จัดรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ – ส่ง ระหว่างลานจอดรถระยะยาวโซน D และอาคารผู้โดยสารทุกๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย