AOT สยายปีก! สู่เป้าหมาย 140 ล้านคน ลุ้นรายได้รวมปี 67 ทะลุ 6 หมื่นล้าน

ผู้ชมทั้งหมด 505 

หลังจากเจอผลกระทบในช่วงโควิด – 19 ส่งผลให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ AOT ในช่วงปี 2564 และปี 2565 มีผลขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปีติด ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยในปีงบประมาณ 2562 (ต.ค. 2561-ก.ย.2562) ก่อนโควิด – 19 จะแพร่ระบาดนั้นมีผู้โดยสารรวม 6 ท่าอากาศยาน 141 ล้านคน มีกำไรสุทธิ 25,026 ล้านบาท มีรายได้รวม 64,566 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 9 เดือนของปีงบประมาณ 2566-2567 มีกำไรสุทธิ 14,910 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมทั้งปีกำไรสุทธิอาจจะไม่ถึงระดับใกล้เคียงกับปี 2562 แต่ในส่วนรายได้มีโอกาสแตะระดับ 60,000 ล้านบาทจาก 9 เดือนอยู่ที่ 50,746 ล้านบาท   

ขณะที่ในปีงบประมาณ 2567 (ต.ค. 2566-ก.ย.2567) นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) หรือ AOT มั่นใจว่า ผู้โดยสารรวม 6 ท่าอากาศยานของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) จะอยู่ในระดับ 120 ล้านคน ส่วนในปีงบประมาณ 2567-2568 มั่นใจว่าตัวเลขผู้โดยสารรวม 6 ท่าอากาศยานจะมากกว่า 140 ล้านคนใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งตัวเลขการเติบโตของผู้โดยสารจะสอดคล้องกับผลประกอบการ ดังนั้นผลประกอบการในปี 2568 มีโอกาสกลับมาใกล้เคียงปี 2562

อย่างไรก็ตามในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 นั้น AOT มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 14,910.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,551.41 ล้านบาท คิดเป็น 178.23% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม 50,764.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.32% ซึ่งรายได้จากการขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น 17,567.91 ล้านบาท คิดเป็น 53.59% แบ่งเป็น รายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน มีจํานวน 23,268.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,310.63 ล้านบาท คิดเป็น 45.81% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบินจํานวน 27,078.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,257.28 ล้านบาท คิดเป็น 60.98% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวม 29,580.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,651.46 ล้านบาท หรือ 23.62%

นายกีรติ กล่าวว่า การเติบโตของรายได้และปริมาณผู้โดยสารได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ปริมาณการจราจรทางอากาศของ AOT ในรอบ 9 เดือน มีจํานวนเที่ยวบินรวม 548,514 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 15.51% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,500 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 240,014 เที่ยวบิน ขณะที่จำนวนผู้โดยสารรวมมีทั้งหมด 90.14 ล้านคน เพิ่มขึ้น 21.17% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.60 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 35.54 ล้านคน

นายกีรติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา AOT ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบบริการผู้โดยสารสมัยใหม่เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสารทั้ง 6 ท่าอากาศยาน ซึ่งสามารถเพิ่มคุณภาพงานบริการและลดระยะเวลารอคอยของผู้โดยสารได้ดีกว่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งปัจจุบันระยะเวลาการใช้บริการในกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 26 นาทีต่อคน (จากเป้าหมายเดิมที่กําหนดไว้ 40 นาทีต่อคน) ส่วนกระบวนการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 37 นาทีต่อคน (จากเป้าหมายเดิมที่กําหนดไว้ 55 นาทีต่อคน) ในขณะที่กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 15 นาทีต่อคน (จากเป้าหมายเดิมที่กําหนดไว้ 35 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 25 นาทีต่อคน (จากเป้าหมายเดิมที่กําหนดไว้ 40 นาทีต่อคน)

นอกจากนี้ AOT ยังได้จัดแคมเปญส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวไทยผ่านโครงการกระตุ้นให้สายการบินเข้ามาเปิดเส้นทางการบินใหม่ (New Routes to Airlines) ณ ท่าอากาศยานของ AOT ทั้ง 6 แห่ง เพื่อเป็นการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางด้านการบินและเป็นปัจจัยกระตุ้นให้สายการบินตัดสินใจเปิดให้บริการเส้นทางการบินใหม่ รวมถึงให้ส่วนลดกับสายการบินที่ทําการบินในเส้นทางการบินใหม่ทั้งส่วนลดค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน ค่าบริการที่เก็บอากาศยาน และค่าบริการใช้สะพานเทียบเครื่องบินอีกด้วย

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปีงบประมาณ 2566 – 2567 ที่จะสิ้นสุดในเดือนกันยายนนี้คาดว่า รายได้มีโอกาสแตะระดับ 60,000 ล้านบาทได้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนุบสนุนจากนโยบายวีซ่าฟรีให้กับนักท่องเที่ยวอีก 36 ประเทศและดินแดน รวมเป็น 93 ประเทศและดินแดนทั่วโลก จากเดิมที่มี 57 ประเทศ โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ซึ่งสามารถพักอาศัยอยู่ได้ 60 วัน จากเดิม 30 วัน ประกอบกับการเปิดอาคารผู้โดยสารหลัก และอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบได้อย่างมีนัยยะสำคัญ