ผู้ชมทั้งหมด 147
AOT กางแผน 10 ปี อัดงบ 3.38 แสนล้าน ขยายการลงทุนท่าอากาศยาน ลุยสร้างสนามบินอันดามัน เชียงใหม่2 รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน คาดผู้โดยสารแตะ 210 ในปี 78 พร้อมเร่งเดินหน้าตามแผนการเพิ่มรายได้แหล่งใหม่
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.(AOT) เปิดเผยว่า จากคาดการณ์ตัวเลขผู้โดยสารที่ผ่านมาและแนวโน้มในอนาคต คาดว่าในอีก 5 ปี การเติบโตของปริมาณผู้โดยสารจะมีเพิ่มขึ้นเป็น 170 ล้านคนต่อปี และในอีก 10 ปี (2568 – 2578) คาดปริมาณผู้โดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 210 ล้านคนต่อปี



ขณะที่ธุรกิจของ AOT ยังมีแนวโน้มรายได้ที่เป็นขาขึ้นจากปัจจัยด้านการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสารและการขยายตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ดังนั้น AOT จึงมีแผนพัฒนาโครงการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินของอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเพิ่มรายได้ และอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร รวมถึงฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยด้วย
ทั้งนี้ระหว่างปี 2568 – 2578 นั้น AOT ยังมีแผนลงทุนขยายท่าอากาศยานอย่างต่อเนื่อง โดยใช้งบลงทุนรวมราว 338,000 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ทั้งด้านผู้โดยสารและกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ผ่านการลงทุนเพิ่มพื้นที่อาคารผู้โดยสารภายในท่าอากาศยานเดิม ไปจนถึงการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ อาทิ โครงการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารจากเดิม 65 ล้านคนต่อปี เป็น 150 ล้านคนต่อปี ประกอบด้วย
โครงการพัฒนาส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกของอาคารผู้โดยสาร (East Expansion) มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีพื้นที่ 100,000 ตารางเมตร เพิ่มการรองรับผู้โดยสาร 15 ล้านคน โครงการพัฒนาก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) ลงทุนประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อเพิ่มการรองรับผู้โดยสาร 70 ล้านคน โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 วงเงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) วงเงินลงทุน 3.6 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับผู้โดยสาร 40 ล้านคนต่อปี ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ โครงการปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม รวมถึงโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีก 60 ล้านคนต่อปี ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง ทภก.แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานอันดามัน มูลค่า 8 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 40 ล้านคน และโครงการก่อสร้างท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 หรือท่าอากาศยานล้านนา วงเงินลงทุน 7 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 20 ล้านคนต่อปี
เร่งเดินหน้าแผนเพิ่มรายได้แหล่งใหม่
นายกีรติ กล่าวด้วยว่า AOT ยังมีแผนการเพิ่มรายได้แหล่งใหม่ อาทิ 1.โครงการตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ปี พ.ศ.2562 ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ประกอบไปด้วย โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น การให้บริการผู้โดยสารภาคพื้นและกิจการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและโครงการคลังสินค้า ณ ทสภ. ของผู้ประกอบรายที่ 3 ณ ทสภ. ซึ่งปัจจุบัน AOT อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชน โดยจะมีการประกาศเชิญชวนในเดือนมีนาคม 2568 และโครงการ 400 Hz และ PC-Air โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) โครงการให้บริการการซ่อมขนาดเบาอากาศยาน (Line Maintenance) (โครงการดังกล่าวจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2569)
2.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง โครงการก่อสร้าง Junction Building และอาคารจอดรถพร้อมพื้นที่ให้บริการโรงแรมเพื่อเป็นจุดเชื่อมระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางจากทางอากาศไปยังระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงและรถสาธารณะต่างๆ 3.โครงการพัฒนาที่ดินแปลง 723 ไร่ ณ ทสภ. (Certify Hub และ Airport Logistics Park) ประกอบด้วยศูนย์จัดการสินค้าเกษตรแบบครบวงจร และเป็น Logistics Park ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการขนส่งสินค้าทางอากาศ
นอกจากนี้ AOT ยังมีความได้เปรียบด้านศักยภาพการแข่งขันเชิงธุรกิจและนโยบายส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว AOT จึงมีความเชื่อมั่นทั้งความพร้อมในการสร้างรายได้และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป