AGEเล็งซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ผู้ชมทั้งหมด 1,232 

AGE เล็งซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน สนใจโรงไฟฟ้าชุมชุน ยันถ่านหินยังมีอนาคตรุกขยายตลาดต่างประเทศเพิ่ม ตั้งเป้าขายถ่านหิน 5.5 ล้านตัน จากปี 63 คาดว่าอยู่ในระดับ 4 ล้านตัน พร้อมเร่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ 600-700 ล้านบาท อัดงบลงทุน 100 ล้านบาท

นางสาวปณิตา ควรสถาพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม โรงไฟฟ้าชีวมวล ล่าสุดลุงทุนซื้อโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 5 เมกะวัตต์ ดำเนินงานผ่านบริษัทร่วมทุนคือ บริษัท แอท เอนเนอจี โซลูชั่น จำกัด พร้อมทั้งขยายสู่ธุรกิจขายไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันหาให้กับลูกค้าอยู่จำนวน 2 รายขนาดกำลังการผลิตรวม 16 ตันต่อวัน ระยะเวลาสัญญา 10 ปี โดยจะเริ่มรับรู้เป็นรายได้ปลายปี 2564 พร้อมกันนี้ก็อยู่ระหว่างเจรจาลูกค้าอุตสาหกรรมอีกหลายราย ซึ่งมีทั้งรายที่สนใจซื้อไอน้ำอย่างเดียว และรับซื้อไฟฟ้ากับไอน้ำ นอกจากนี้บริษัทยังสนใจเข้าร่วมประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน

สำหรับธุรกิจถ่านหินที่เป็นธุรกิจหลักนั้นบริษัทมองว่าธุรกิจถ่านหินยังเป็นธุรกิจที่มีอนาคตอีกไกล และในระยะสั้นยังเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10 ปี เนื่องจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังมีความต้องการใช้เชื้อเพลิงราคาถูก และปัจจุบันยัไม่เห็นว่าจะมีเชื้อเพลิงประเภทใดที่มาแข่งขันกับถ่านหินได้ ขณะเดียวกันเวียดนาม และอินเดีย ก็มีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ถ่านหินเติบโตขึ้น ดังนั้น หากบริษัท เริ่มเล็งเห็นว่าจะมีเชื้อเพลิงประเภทใดที่สามารถเข้ามาแข่งขันด้านต้นทุนกับเชื้อเพลิงถ่านหินได้ บริษัทก็พร้อมที่จะปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ในอนาคต

โดยในปี 2564 บริษัทตั้งเป้าขายถ่านหินในระดับ 5.5 ล้านตันแบ่งเป็นสัดส่วนของต่างประเทศ 30% ในประเทศ 70% โดยในต่างประเทศนั้นมีแผนที่จะขยายไปยังประเทศฟิลิปปินส์ อินเดีย เพิ่ม จากปัจจุบันส่งออกไปยังประเทศ จีน เวียดนาม ไตหวัน กัมพูชา รวมทั้งขยายฐานลูกค้าเพิ่มในประเทศที่มีตลาดอยู่เดิม ทั้งนี้ในปี 2563 นั้นคาดว่ายอดขายถ่านหินจะอยู่ในระดับ 4 ล้านตันเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3.5 ล้านตัน เนื่องจากในต่างประเทศมียอดขายถ่านหินเพิ่มขึ้นโดยมีสัดส่วนในระดับ 15% ที่เหลือเป็นสัดส่วนในประเทศ 85% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าโรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานปิโตรเคมี และโรงไฟฟ้า ส่วนราคาถ่านหินที่อิงกับตลาดนิวคาสเซิลปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 90 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปี 2563 นั้นอยู่ในระดับ 60 เหรียญสหรัฐต่อตัน

ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ในปี 2564 บริษัท ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มรายได้ธุรกิจโลจิสติกส์ เป็น 600-700 ล้านบาท จากปี 2563 ทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท โดยจะรุกเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหนัก ที่มีความต้องการใช้รถบรรทุกในการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในปีนี้ บริษัท จึงเตรียมงบลงทุน 100 ล้านบาทสำหรับซื้อเรืออีก 4 ลำ 36 พวง และซื้อรถบรรทุกเพิ่มจากเดิมมี 50 คัน เพื่อช่วยสนับสนุนรายได้ของธุรกิจเติมโตตามเป้าหมายในปีนี้ รวมถึงใช้งบลงทุนในการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายท่าเรือที่ 4 และจัดซื้อเครื่องมือหนัก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม จากแผนขยายการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจไอน้ำ ขยายตลาดถ่านหินในต่างประเทศเพิ่มรวมทั้งทิศทางราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้นบริษัทมั่นใจว่าจะสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวม แตะระดับ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่คาดว่าจะทำรายได้ระดับ 8,000 ล้านบาท