ผู้ชมทั้งหมด 1,643
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ที่คนไทยคุ้นหู ชื่อย่อว่า “บางจาก” ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาแล้วกว่า 30 ปี ผ่านธุรกิจจำหน่ายน้ำมัน ภายใต้สถานีบริการน้ำมันบางจากฯ ด้วยธุรกิจแรกเริ่มจากการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันเมื่อปี 2527 ถือเป็นธุรกิจที่ฟันฝ่าคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลง รับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปจากการปรับตัวทั้งธุรกิจและวิธีคิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ “บางจากฯ” เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และขยายฐานธุรกิจไปสู่ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจไบโอเบส ซึ่งตอบสนองต่อเทรนด์โลกที่จะมุ่งสู่พลังงานสะอาดได้ชัดเจนมากขึ้น
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เล่าว่า ย้อนนึกถึงช่วงแรก ๆ ของการรับตำแหน่ง ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขาพยายามผลักดันมาโดยตลอดคือการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ เขาจำได้ว่าในการเสนอตั้งงบประมาณครั้งแรกเมื่อ 7 ปีก่อน เขาได้ขอตั้งงบไว้ปีหนึ่งประมาณสัก 5-10 ล้านเหรียญ เพื่อใช้ลงในธุรกิจซึ่งจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคต หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า frontier technology แต่ในวันนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำนี้
โดยเขาใช้คำว่า Incubator หรือ ธุรกิจที่จะไปบ่มเพาะให้เกิดธุรกิจใหม่ได้ เช่น การลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ลิเทียม ที่กว่าจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านการพิจารณากันหลายรอบ โดยตอนเข้าไปลงทุนครั้งแรกราคาหุ้นละ 50 เซ็นต์แคนาดา และต่อมาได้ขายไปที่ราคา 30 เหรียญแคนาดาต่อหุ้น ซึ่งนอกจากจะได้รู้จักกับธุรกิจใหม่แล้ว การลงทุนครั้งนั้นได้สร้างกำไรให้บริษัทฯ ราว 4,000 กว่าล้านบาท และบางจากฯ ยังมีสิทธิ์ที่จะรับซื้อลิเทียมคาร์บอเนตปีละประมาณ 6,000 ตัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจต่อไป
“ผมเริ่มเข้ามาเป็นกรรมการของบางจากฯ เมื่อปี 2555 ก่อนรับตำแหน่งซีอีโอ ในปี 2558 สำหรับผม ภาพของ บางจากฯ ในวันนั้น ดูเป็นคุณลุงผู้สูงวัยนิดๆ เป็นคนดี มีความขยัน ซื่อสัตย์ ตั้งใจทำงาน พร้อมที่จะทำอะไรต่าง ๆ ที่ขอให้ทำ พอมาเป็นซีอีโอ สิ่งที่ผมขอเติมให้เพิ่มขึ้นก็คือสิ่งที่ผมเรียกว่า Dynamism ในวันนั้น หรือที่ตอนหลังก็กลายมาเป็นคำว่า Agility คือขอให้พนักงานที่เก่งและฉลาด เพิ่มความเฉลียวเข้าไปในระบบ มีปฏิภาณไหวพริบ ฉับไวทันเหตุการณ์”
วันนี้อุตสาหกรรมเปลี่ยนเร็ว สำคัญมากที่ต้องวางแผนปรับตัวเองให้เร็วกว่าอุตสาหกรรม แทนที่จะโดนโลก disrupt เราก็ disrupt ตัวเราเองให้ภายในของเราสมดุลก่อน ดังนั้น จึงได้จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ หรือ BiiC ขึ้น รองรับแผนระยะยาวสำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพ โดยบางจากฯ นับเป็นบริษัทไทยรายแรก ๆ ที่ส่งพนักงานของ BiiC ไปทำงานที่ Silicon Valley เพื่อร่วมงานกับสตาร์ทอัพต่าง ๆ ทั่วโลกในสหรัฐฯ ทำหน้าที่เสาะหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่แหล่งกำเนิดหรือต้นน้ำเลย
ปัจจุบัน บางจากฯ กำลังก้าวสู่ปีที่ 38 ผมรู้สึกว่า บางจากฯดูเป็นคนที่หนุ่มขึ้น พร้อมเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก หรือ ก้าวนำเทรนด์โดยรับความเสี่ยงบางส่วนได้ ถ้าเป็นคนก็คือเริ่มมีครอบครัว แตกราก สร้างฐานมั่นคง มีความหลากหลาย มีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ธุรกิจชีวภาพ และอื่น ๆ
อีกทั้ง บางจากฯ ต้องมีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ให้ได้ ทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพให้ดูทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของสถานีบริการ หรืออาคารสำนักงาน ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมขององค์กรและวิธีการทำงานก็เสริมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสร้างธุรกิจของบริษัทฯ นำวิชา Design Thinking จากการอบรมของบริษัทฯ ไปต่อยอดจนเกิดเป็น Winnonie สตาร์ทอัพภายในบริษัท โดยการสนับสนุนของผู้บริหาร ซึ่งในวันนี้ Winnonie น่าจะเป็นธุรกิจแพลตฟอร์มให้เช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่โดดเด่นที่สุด
“จริง ๆ แล้ว Transformation หรือการปรับเปลี่ยนไม่น่าจะแค่เกี่ยวกับรายได้ของธุรกิจ แต่เป็นวิธีการคิด วิธีการทำงาน ผมบอกเสมอว่า สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องมีความอยากรู้ อยากเข้าใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ รู้ว่าเราทำตรงนี้เพราะอะไร ถามตัวเองก่อนว่าสมัยนั้นเข้าใจและทำแบบนั้น แล้วสมัยนี้ยังเหมาะหรือต้องทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า ถ้าเราพยายามเข้าใจให้ลึกซึ้งว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะนำมาต่อยอดได้ง่าย และต้องหมั่นขวนขวาย ศึกษา เข้าใจ และหาคำตอบที่ดีที่สุด แล้ววิธีคิดวิธีการทำงานของเราก็จะเปลี่ยน สามารถรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้”
ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านวิธีคิดในองค์กรไม่มี One size fits all ไม่มีอะไรที่ใช้แล้วก็ปรับใช้ได้หมด เพราะแต่ละธุรกิจ แต่ละงานมีธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน BiiC ต้องคิดนอกกรอบ การตลาดต้องเน้นคิดใหม่ทำใหม่ แต่โรงกลั่นก็ต้องทำตามขั้นตอน คงไม่เหมาะสมที่จะมุ่งเน้นคิดนอกกรอบมากจนเกินไป ต้องปรับใช้ให้มีระดับที่เหมาะสมกับงานที่ทำ เพราะเหรียญมีสองด้าน “ความอยากรู้อยากเห็น” ก็เช่นกัน หากรู้จักนำมาใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้อง ย่อมกลายเป็นพลังที่ช่วยให้วิธีคิดของเราเปลี่ยน เพื่อใช้กับทั้งการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจในโลกที่ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วรอบ ๆ ตัวเรา