ผู้ชมทั้งหมด 713
“ไทยไลอ้อนแอร์” ลุ้นเปิดประเทศช่วยหนุน เคบิ้นแฟกเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 85% พร้อมขอประเมิน 1 เดือนก่อนตัดสินใจบินต่างประเทศนำร่องสิงคโปร์ คาดปี 65 ปริมาณผู้โดยสายเพิ่มเป็น 6.5 ล้านคน แย้มสมาคมสายการบินฯ เตรียมยืนหนังสือขยายเวลาลดภาษีน้ำมัน
นางนันทพร โกมลสิทธิ์เวช ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทย ไลอ้อน แอร์ เปิดเผยว่า การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยไม่ต้องกักตัวที่จะเริ่มในระยะแรกวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ตามนโยบายรัฐบาลนั้นสายการบินไทยไลอ้อนแอร์คงยังไม่ได้เริ่มเปิดทำการบินระหว่างประเทศ โดยจะขอติดตามประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวในช่วงระยะแรกก่อนว่ามีผลตอบรับเป็นอย่างไร รวมทั้งขอประเมินแนวโน้มการเดินทางออกนอกประเทศของคนไทยด้วยว่าสอดคล้องกับการเดินทางเข้าหรือไม่ หากมีแต่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย แต่ไม่มีขาออก การบริหารต้นทุนขนส่งของสายการบินจะประสบปัญหา
โดยหากมีแนวโน้มที่ดีขึ้นก็อาจจะพิจารณาเปิดเส้นทางบินเส้นทางสิงคโปร์ ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2564 เหลือต้นเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งเป็นเส้นทางที่สายการบินไทยไลอ้อนแอร์เคยทำการบินอยู่แล้ว ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงแพร่ระบาดต่ำ ส่วนประเทศจีนก็เป็นอีกประเทศที่อยู่ในกลุ่ม 10 ประเทศที่รัฐบาลนำร่องเปิดให้บินเข้าไทย และเป็นประเทศที่ไทยไลอ้อนแอร์เคยทำการบิน ซึ่งหากแนวโน้มผู้โดยสารเพิ่มขึ้นก็อาจจะพิจารณาเปิดทำการบินประจำ จากปัจจุบันที่ทำการบินแบบเช่าเหมาลำ
อย่างไรก็ตามไทยไลอ้อนแอร์ได้เตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทั้งความพร้อมของเครื่องบิน มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน และด้านสาธารณะสุข โดยปัจจุบันมีฝูงบินอยู่จำนวน 9 ลำเพียงพอต่อการทำการบิน ขณะเดียวกันก็ต้องศึกษาเรื่องแอปพลิเคชั่น กฎระเบียบ ข้อบังคับ ต่างๆ ของทางรัฐบาลว่าจะให้เกิดความสะดวก สบายต่อนักท่องเที่ยวอย่างไร เพื่อสามารถให้คำแนะนำนักท่องเที่ยวได้
ทั้งนี้เพื่อให้การเดินทางระหว่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้น รัฐบาลควรที่จะเปิดการเจรจา Travel Bubble กับประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อเปิดให้คนไทยบินไปเที่ยวไปต่างประเทศด้วย โดยอาจจะเริ่มในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ประเทศจีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ เป็นต้น เพื่อกระตุ้นการเดินทางระหว่างประเทศ
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของผู้โดยสารภายในประเทศของไทยไลอ้อนแอร์นั้นเริ่มเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 ที่มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร หรือ เคบิ้นแฟกเตอร์ (Cabin Factor) เฉลี่ยในระดับ 65% ขณะที่เดือนตุลาคม 2564 เฉลี่ยในระดับ 70% เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม และมีช่วงวันหยุดยาว อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีหากนโยบายการเปิดประเทศได้รับการตอบรับของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดีก็หวังว่า Cabin Factor จะเพิ่มขึ้นถึง 80-85% ขณะจำนวนผู้โดยสารในปี 2565 คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นในระดับ 6.5 ล้านคน หรือ 50% และในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ในระดับ 70% ของปี 2562 ที่มีปริมาณผู้โดยสารราว 13 ล้านคน
ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมการบินนั้น คาดว่าในปี 2565 จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้โดยสารต่างประเทศ ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 จะเกิดการระบาดรุนแรงมั้ย ถ้าในปี 2565 ผ่านไปได้ด้วยดีก็เชื่อว่าในปี 2566 อุตสาหกรรมการบินจะกลับมาปกติใกล้เคียงกับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด – 19
การทำการบินภายในประเทศของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์นั้นปัจจุบันทำการบินอยู่ 13 เส้นทาง อาทิ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่, กรุงเทพฯ – เชียงราย, กรุงเทพฯ – อุบลราชธานี, กรุงเทพฯ – ขอนแก่น, กรุงเทพฯ – สุราษฏร์ธานี, กรุงเทพฯ – นครศรีธรรมราช, กรุงเทพฯ – ภูเก็ต เป็นต้น นอกจากนี้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังเตรียมกลับมาเปิดบินเส้นทางระหว่างภูมิภาค เช่น หาดใหญ่ – อุดรธานี, อู่ตะเภา – เชียงใหม่
ส่วนกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในระดับสูงนั้นก็เกิดผลกระทบต่อต้นทุนของการทำการบิน โดยในเร็วๆ นี้ สมาคมสายการบินประเทศไทย เตรียมที่จะทำหนังสือ ถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายเวลาการช่วยเหลือในการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นให้อยู่ในระดับ 0.20 บาทต่อลิตร จากเดิมอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 1 ปี จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 จากเดิมเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2564