ไทยออยล์ ชี้วิกฤตพลังงานขาดแคลน กระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันให้สูงขึ้น

ผู้ชมทั้งหมด 1,043 

ไทยออยล์ ชี้วิกฤตพลังงานขาดแคลนกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมันให้สูงขึ้น หนุนราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 78-84 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 81-87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิเคราะห์ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ประเมินแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ (18 – 22 ต.ค. 64) ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวต่อเนื่อง หลังวิกฤตพลังงานขาดแคลนทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและจีน ส่งผลให้ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันทดแทนก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินอยู่ในระดับสูง

โดยความต้องการใช้น้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นราว 0.5 – 2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติและถ่านหินในช่วงฤดูหนาว สะท้อนได้จากระดับสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อุปทานการผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปกและชาติพันธมิตร (OPEC+) ปรับเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพียงเดือนละ 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้น จึงส่งผลให้ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น ทั้งนี้ต้องติดตามการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตครั้งถัดไปในวันที่ 4 พ.ย.64 ว่าจะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่านี้หรือไม่

ทั้งนี้ในรายงานฉบับเดือน ต.ค. 64 กลุ่มโอเปกปรับลดคาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของโลกปี 2564 จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 5.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงเหลือ 5.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ประมาณการโดย IMF โดยคาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดิม 6.0% เหลือ 5.9% สำหรับปี 2565 กลุ่มผู้ผลิตคงการเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันในระดับเดิมที่ 4.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องที่ราว 4.9% จากปีก่อนหน้าเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นหลังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ดีขึ้น รวมถึง การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังปริมาณความต้องการใช้น้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในประเทศ ขณะที่ปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้นกลับมาสู่ระดับก่อนเกิด Hurricane แล้วเนื่องจากผู้ผลิตสามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 8 ต.ค. 64 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 426.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลงเพียง 0.7 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณการผลิตปรับเพิ่มขึ้น 0.1 ล้านบาร์เรลต่อวันจากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 11.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดิบในสัปดาห์ก่อนหน้าปรับลดลง 0.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน

นอกจากนี้ยังต้องจับตาสหรัฐฯ ว่าจะมีการออกนโยบายเพิ่มเติมในการสกัดราคาน้ำมันในประเทศและค่าเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยล่าสุดสหรัฐฯ มีการเรียกประชุมด่วน เพื่อหารือถึงมาตรการในการรับมือ อาทิเช่น การปล่อยน้ำมันออกมาจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) การระงับการส่งออกน้ำมันดิบ และการหารือกับผู้ผลิตน้ำมันดิบในประเทศ

ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่หกติดต่อกัน โดย Baker Hughes รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 8 ต.ค. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 12 แท่นไปอยู่ที่ระดับ 445 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 64

ขณะเดียวกันก็ต้องจับตาความคืบหน้าการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและ 6 ประเทศว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหรือไม่ หลังสหภาพยุโรปจะมีการเดินทางไปอิหร่านเพื่อหารือประเด็นต่างๆ รวมถึง ข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่ายไปแล้วกว่า 6 รอบในกรุงเวียนนา แต่ก็ยังไม่ได้มีข้อสรุป ทั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาดำเนินการเจรจาและบรรลุข้อตกลงได้จะส่งผลให้อิหร่านสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตและการส่งออกขึ้นได้ราว 1.0 – 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะสามรถบรรลุข้อตกลงได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า

ส่วนเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ GDP ไตรมาส 3/64 ของจีน ปริมาณภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกของจีน เดือน ก.ย. 64 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการสหรัฐฯ เดือน ต.ค. 64 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการยูโรโซน เดือน ต.ค. 64