ผู้ชมทั้งหมด 731
ไทยออยล์ ประเมินราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ยังทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง หลังอุปสงค์น้ำมันดิบยังคงเติบโตในระดับสูง จับตากลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรประชุม 1 ก.ย.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินทิศทางราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ (30 ส.ค. – 3 ก.ย. 64) ว่า ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่ยังคงเติบโตในระดับสูงต่อเนื่องจากสหรัฐอเมริการ และจีนที่มีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันปรับลดลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ราคายังได้รับแรงหนุนจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในอ่าวเม็กซิโกที่ปรับลดลง หลังผู้ผลิตปรับลดการผลิตลงก่อนที่เฮอร์ริเคน Ida จะเข้าใกล้ และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน อย่างไรก็ตามราคายังคงเผชิญกับแรงกดดันจากความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเม็กซิโกที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ หลังเกิดเหตุไฟไหม้ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 66-71 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 69-74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันที่ 1 ก.ย. ว่ากลุ่มผู้ผลิตจะมีการเดินหน้าปรับเพิ่มกำลังการผลิตตามแผนเดิมหรือไม่ โดยนักวิเคราะห์บางส่วนมีการคาดการณ์กลุ่มผู้ผลิตมีแนวโน้มจะชะลอแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิตมีการเพิ่มกำลังการผลิตที่ประมาณ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือน ส.ค.64 เป็นต้นไปจนกว่าระดับการผลิตที่ทางกลุ่มมีการปรับลดตั้งแต่ต้นปี 64 จะหมดลงในเดือน ก.ย. 65
ขณะที่บริษัทน้ำมันหลายแห่งในบริเวณอ่าวเม็กซิโกได้ดำเนินการอพยพคนงานและปรับลดกำลังการผลิตลงกว่า 59% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั้งหมดของอ่าวเม็กซิโก หลังพายุเฮอร์ริเคน Ida จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้พื้นที่ชายฝั่งและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นกลายเป็นเฮอร์ริเคนระดับ 3 ซึ่งมีความเร็วลมกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หลังจากนั้นพายุเฮอร์ริเคนจะเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งของรัฐหลุยส์เซียนา
ส่วนปริมาณความต้องการใช้น้ำมันในประเทศจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีแนวโน้มผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา หลังสามารถดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าภายในประเทศได้แล้ว จากการเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการกว่าสองเท่าจากเดิมทั้งการควบคุมการเดินทางทางอากาศ ทางบก และทางน้ำ โดยเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางการจีนรายงานว่าไม่พบการติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ภายในประเทศเป็นวันแรกนับตั้งแต่ 16 ก.ค.
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน หลังปริมาณความต้องการใช้น้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับจำกัด โดย สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 20 ส.ค. ปรับลดลง 3.0 ล้านบาร์เรล อยู่ที่ระดับ 432.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ ม.ค. 63 และลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับลดลง 2.7 ล้านบาร์เรล เนื่องจากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 6 แสนวัน นำโดยการเพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ อิหร่าน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิเช่นไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ส่งผลให้หลายประเทศมีการบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทางและส่งผลกดดันต่อความต้องการใช้น้ำมันและเศรษฐกิจ
การผลิตน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น หลังผู้ผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มการขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวในระดับสูง โดย เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 27 ส.ค. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 5 แท่นไปอยู่ที่ระดับ 410 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 และนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นติดต่อกันกว่า 13 เดือน ทั้งนี้ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน อยู่ที่ราว 11.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน
เศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการจีน เดือน ส.ค.64 ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการยุโรป เดือน ส.ค.64 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและบริการสหรัฐฯ เดือน ส.ค.64