กฟผ. ยึดหลักมาตรฐานสากล “ตรวจสอบ-เฝ้าระวัง” มั่นใจเขื่อนใหญ่ปลอดภัยจากเหตุแผ่นดินไหว

ผู้ชมทั้งหมด 297 

“แผ่นดินไหว” แม้จะดูเป็นภัยธรรมชาติที่ห่างไกลจากชีวิตคนไทย แต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ได้เปลี่ยนมุมมองนั้นไปโดยสิ้นเชิง เมื่อแรงสั่นสะเทือนขนาด 8.2 แมกนิจูด มีจุดศูนย์กลางลึก 10 กิโลเมตรในประเทศเมียนมา สะเทือนมาถึงหลายจังหวัดในประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ผู้คนบนอาคารสูงรับรู้แรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาชนตื่นตัว แต่ยังสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกรณีการถล่มของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ สูง 30 ชั้น บนถนนกำแพงเพชร 2 ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายจำนวนมาก เหตุการณ์นี้เป็นอาฟเตอร์ช็อกที่ไม่ใช่แค่แรงสะเทือน แต่คือแรงกระแทกใจคนไทยทั้งประเทศ

ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ ที่เป็นทั้งแหล่งผลิตไฟฟ้า แหล่งกักเก็บน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงทางพลังงานของไทย

หนึ่งในองค์กรที่ไม่รอช้า คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งออกมายืนยันถึงความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูแล ด้วยมาตรการ “ตรวจสอบ-ติดตาม-เฝ้าระวัง” ตามมาตรฐานระดับสากล

กฟผ. ยืนยัน “เขื่อนมั่นคง” รองรับแผ่นดินไหวได้

นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กฟผ. ระบุว่า เขื่อนขนาดใหญ่ในความดูแลของ กฟผ. ได้ถูกออกแบบเพื่อให้สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ตั้งแต่ต้น โดยมีมาตรการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของเขื่อนผ่านเครื่องมือวัดตามมาตรฐานสากล ทั้งยังยืนยันว่าเขื่อนทุกแห่งไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ และยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการเก็บกักน้ำและผลิตไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ตัวเลขยืนยันความปลอดภัย

เพื่อสร้างความมั่นใจยิ่งขึ้น กฟผ. ได้เปิดเผยข้อมูลการตรวจวัดอัตราเร่งจากแผ่นดินไหวในพื้นที่เขื่อนต่างๆ เปรียบเทียบกับความสามารถในการรองรับที่ระดับ 0.1-0.2 g พบว่า:

  • เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ (ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 546.36 กม.) วัดได้ 0.00074g
  • เขื่อนภูมิพล จ.ตาก (ห่าง 482.82 กม.) วัดได้ 0.00457g
  • เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี (ห่าง 820 กม.) วัดได้ 0.00473g
  • เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี (ห่าง 809.8 กม.) วัดได้ 0.02590g

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแรงสั่นสะเทือนที่ส่งถึงเขื่อนในไทย ยังห่างไกลจากจุดที่เป็นอันตรายต่อโครงสร้างเขื่อนอย่างมีนัยสำคัญ

ตรวจสอบความปลอดภัยเข้ม 3 ระดับ

กฟผ. ยังดำเนินการตามแนวทางขององค์การเขื่อนใหญ่ระหว่างชาติ (ICOLD) ด้วยการตรวจสอบความปลอดภัยของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำใน 3 ระดับ ได้แก่:

  1. การตรวจสอบแบบประจำ
    เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบด้วยสายตาและเครื่องมือตรวจวัดพฤติกรรมของเขื่อนเป็นประจำทุกสัปดาห์
  2. การตรวจสอบแบบเป็นทางการ
    มีคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยของเขื่อน (กปข.) ตรวจทุก 2 ปี
  3. การตรวจสอบกรณีพิเศษ
    กรณีเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น แผ่นดินไหวรุนแรง ฝนตกหนัก หรือน้ำหลาก ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของเขื่อน

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลได้ทันที

เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลอย่างรวดเร็วและถูกต้อง กฟผ. ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน EGAT ONE ที่รองรับทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อใช้ติดตามข้อมูลด้านการจัดการน้ำ รวมถึงการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยจากเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ

มั่นใจในความปลอดภัยของเขื่อนไทย

จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นใกล้ชายแดนไทยในปี 2568 ทำให้คนไทยตระหนักถึงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่ในวิกฤตนั้น กฟผ. ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความใส่ใจในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยมาตรการตรวจสอบที่เข้มงวด พร้อมเครื่องมือวัดทันสมัยระดับโลก และการสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใส

ประชาชนจึงสามารถอุ่นใจได้ว่า เขื่อนขนาดใหญ่ของไทยยังคงมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัย” ไม่ว่าจะเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนขนาดใดก็ตาม