ผู้ชมทั้งหมด 332
เชื่อว่าผู้ใช้รถใช้ถนนทุกวันนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก “พีทีที สเตชั่น” สถานีบริการน้ำมันของคนไทย ที่ครองส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ของประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 พีทีที สเตชั่น มีมาร์เก็ตแชร์ อยู่ที่ 39.2% สูงสุดของประเทศเทศ แต่มาร์เก็ตแชร์ระดับดังกล่าวถือว่าปรับลดลงจากปี 2566

ดังนั้น เพื่อให้ พีทีที สเตชั่น รักษาแชมป์ได้อย่างมั่นคง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เจ้าของแบรนด์ พีทีที สเตชั่น ได้ประกาศเป้าหมายในปี 2568 เพิ่ม Market share ราว 2-3%

นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ระบุว่า ปี 2568 บริษัทมีแผนขยายส่วนแบ่งทางการตลาด ผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดและแคมเปญต่างๆ โดยเน้นการพัฒนา แคมเปญส่งเสริมการขาย (Marketing Campaigns) ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงจะมีการนำเสนอ โปรโมชั่นที่เข้าถึงง่ายและมีผลต่อการขยายฐานลูกค้า ทั้งในตลาดสถานีบริการน้ำมัน และ ตลาดเชิงพาณิชย์ (Commercial Market) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานในโครงการสำคัญ คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มเห็นผลภายในปีนี้และจะส่งผลโดยหลักต่อตลาดค้าปลีกน้ำมัน
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรร่วมลงทุน เช่น ในส่วนของธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) จะมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ เพื่อทดแทนแบรนด์ที่ได้ยุติการดำเนินงานไปก่อนหน้านี้ เช่น Texas Chicken ที่บริษัทได้ยุติการลงทุนไปเมื่อปีก่อน คาดว่า จะเห็นความชัดเจนในกลางปีนี้
ส่วนของธุรกิจ Mobility บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาโครงการสำคัญ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปี 2568 หรือไตรมาส 1 ปี 2569
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/2568 ยังมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจน้ำมัน ปริมาณจำหน่าย (Sales Volume) ยังเติบโตตามเทรนด์ในอัตราประมาณ 3 – 5% ส่วนธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีแนวโน้มเติบโตทั้งด้านรายได้ และ EBITDA Margin ที่ยังอยู่ในช่วง 26-30% โดย Café Amazon ยังเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
โดยทิศทางธุรกิจในปี 2568 ตามข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ประเมินว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย(GDP) ในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% จากปี 2567 ขยายตัว 2.5% แต่ก็เป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ที่ขยายตัว 5.5% ในปี2567 ขณะที่ปี2568 คาดว่าจะขยายตัว 5.8% ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลดีต่อธุรกิจของOR ในกัมพูชา และในช่วงกลางปีนี้ กัมพูชาจะมีการเปิดสนามบินแห่งใหม่ ก็คาดว่าจะส่งผลดีต่อยอดขายน้ำมันเครื่องบิน(Jet)

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์GDP ไทยในปีนี้ แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ไม่สูง แต่จะช่วยสนับสนุนการขายน้ำมันของOR ให้เติบโตตามทิศทางGDP โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2567 อยู่ที่ 35.5 ล้านคน และในปี2568 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 39 ล้านคน จะสนับสนุนให้การขายน้ำมันเครื่องบินของOR เติบโตขึ้น โดยคาดว่า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเครื่องบินในปีนี้จะกลับมาเทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือ สูงกว่า
แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยท้าทายทางธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น ความผันผวนของราคาพลังงาน ซึ่งในปีนี้ มองว่า ราคาจะไม่สูงมากนัก คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 73-79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดย ทาง OR ก็มีกลยุทธ์ในการบริการจัดการสินค้าคงคลังให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน
รวมถึงปัญหาสงครามการค้าต่างๆ โดยเฉพาะสหรัฐฯและจีน จะเข้มข้นขึ้นในระดับใด ดังนั้น SME จะต้องเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เพราะหากสถานการณ์การแข่งขันรุนแรงขึ้น ก็จะมีผลต่ออำนายการซื้อและส่งผลต่อ OR ในเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการที่ลดลงได้



ฉะนั้น ในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในส่วนของธุรกิจน้ำมัน (Oil Business) จะเติบโตขึ้นประมาณ 3-5% ตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน และบริษัทมีแผนขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่ม ประมาณ 100 แห่ง ในปีนี้
สำหรับแผนการลงทุน 5 ปี(ปี 2568 -2572) ของ OR ตั้งไว้ อยู่ที่ 60,404.6 ล้านบาท ซึ่งแบ่งตามกลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้ ธุรกิจ Mobility มีสัดส่วน 52.8% อยู่ที่ 31,877 ล้านบาท ,ธุรกิจ Lifestyle มีสัดส่วน 25.7% อยู่ที่ 15,502.7 ล้านบาท ,ธุรกิจ Global มีสัดส่วน 18% อยู่ที่ 10,846.9 ล้านบาท และธุรกิจInnovation & New Business มีสัดส่วน 3.5% อยู่ที่ 2,178 ล้านบาท
อีกทั้ง OR ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้าอีกจำนวน 5,081.0 ล้านบาท โดยหลักเพื่อการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ทั้งในและต่างประเทศให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR

ขณะที่ปี 2568 จัดสรรงบลงทุน รวมอยู่ที่ 18,886.9 ล้านบาท แบ่งดังนี้
1.ธุรกิจ Mobility อยู่ที่ 7,656.7 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 40.5%) หลักๆจะใช้สำหรับการขยายสถานีบริการใหม่ ประมาณ 100 สาขา และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน รวมถึงการลงทุนในสถานีชาร์จ EV
2.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business)อยู่ที่ 7,280.4 ล้านบาท(คิดเป็นสัดส่วน 38.5%) โดยเน้นครอบคลุมการขยายสาขา Café Amazon และการปรับปรุงร้านค้าเดิม รวมถึงการเตรียมงบประมาณรองรับโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A)
3.ธุรกิจต่างประเทศ (Global Business) อยู่ที่ 2,771.8 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 14.7%) มุ่งเน้นการขยายสถานีบริการ และร้าน Café Amazon ในตลาดต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับ กัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง
4.การลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Innovation & New Business) อยู่ที่ 1,178 ล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วน 6.3%) เน้นพัฒนาด้าน Digital Platform เพื่อสนับสนุนธุรกิจ Mobility และ Lifestyle ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

โดยข้อมูล ณ สิ้นปี2567 OR มีสถานีบริการ PTT Station ทั้งสิ้น 2,754 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศ 2,340 แห่ง ในต่างประเทศ 414 แห่ง มีร้านคาเฟ่ อเมซอน อยู่ที่ 4,851 แห่ง มีสถานีชาร์จ EV Station PluZ จำนวน 1,194 แห่ง หรือ ติดตั้ง 2,356 หัวชาร์จ ครอบคลุม 77 จังหวัด และมีร้าน Convenience Store จำนวน 2,394 สาขา