“BGRIM” ลุยพัฒนาโรงไฟฟ้า COD ตามแผน ดันรายได้ปี2568 โต 10-15%

ผู้ชมทั้งหมด 610 

สถานการณ์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน จากปัจจัยผลกระทบต่างๆ ทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ ,นโยบายของประธานธิบดี “ทรัมป์ 2.0”, การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ตลอดการออกมาตรการต่างๆเพื่อลดสภาวะโลกร้อน ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนในปี 2568  

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM หนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ด้วยวิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” ประเมินสถานการณ์ธุรกิจในปี 2568 จากตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่จะอยู่ในระดับ 2.9% โดยมีปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติ เฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้านบีทียู ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งความต้องการใช้ไฟฟ้าจะมาจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) รายใหม่ ที่คาดว่า จะดำเนินการเชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ รวมทั้งการขยายนิคมอมตะชลบุรี ทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม ขณะที่ลูกค้ากลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ที่ยังมีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท

นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี2568 คาดรายได้รวมจะเติบโต 10-15% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ อยู่ที่ 55,853 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และโครงการใหม่กำลังการผลิตติดตั้ง รวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386”  ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์

โดยบริษัทตั้งงบลงทุนสำหรับปี 2568 ไว้ที่ 10,000 -12,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุนที่มีข้อตกลงกันแล้ว ทั้งโครงการพลังงานลมที่ประเทศเกาหลี ฟิลิปปินส์ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่จะมีโอกาสเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งการลงทุนแต่ละโครงการ D/E จะอยู่ที่ 3 ต่อ 1 ขณะที่ดีล M&A ปีนี้ คาดว่าจะสามารถปิดได้อย่างน้อย 1-2 โครงการ ได้แก่ โครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศ จำนวน 1 โครงการ ส่วนอีก 1 โครงการ จะเป็นดีลดาต้าเซ็นเตอร์ หรือการร่วมลงทุน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในครึ่งแรกปีนี้ และใช้เวลาก่อสร้าง ราว 1-2 ปี ก่อนจะทยอยรับรู้รายได้หลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ต่อไป

ส่วนแผนออกหุ้นกู้ ในปี 2568 บริษัทอยู่ระหว่างหาพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งจะมีพันธมิตรเข้ามาซัพพอร์ตโครงการลงทุนเพิ่มเติมของกลุ่มบี.กริม ขณะที่ปีนี้มีบอนด์ที่ครบกำหนดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท แต่บริษัทจะออกน้อยกว่า หรืออยู่ที่ประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของโครงการที่ลงทุนที่จะดำเนินการด้วย

สำหรับกรณีนโยบายการแทรกแซงค่าไฟของภาครัฐ บริษัทมีแนวทางบริหารจัดการค่าก๊าซฯอย่างเต็มที่ รวมทั้งหารือกับภาครัฐ เพื่อชี้แจงแนวทางต่าง ๆ รวมทั้งการนำเข้า LNG จะสามารถบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนลงได้ อีกทั้งการรักษาระดับมาร์จิ้นยังได้เจรจากับกลุ่มลูกค้า IUs รายใหม่ และกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ รวมทั้งลูกค้ารายปัจจุบันในช่วงรอยต่อสัญญา

“อายุสัญญาที่ทำกับลูกค้า IUs ในนิคมอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ราว 5 ปี กลุ่มบริษัท ได้ทยอยปรับเงื่อนไขในสัญญาต่อเนื่อง ปัจจุบันก็อยู่ที่ราว 30% ของพอร์ตโฟลิโอ ขณะเดียวกันก็เจรจากับลูกค้าใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าที่จะเข้ามาลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ บริษัท ยังได้ติดตามแนวทางการกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับเร่งศึกษาแนวทางการดำเนินงานให้สอดรับกับแนวทางดังกล่าว เบื้องต้นบริษัทมีสัดส่วนเงินลงทุนในแต่ละโครงการในต่างประเทศที่ชัดเจน ซึ่งในระยะสั้นกลุ่มประเทศที่เข้าไปลงทุน อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย จะไม่ได้รับผลกระทบ