ผู้ชมทั้งหมด 173
BANPU ปี 68 เน้น 4 แนวทางขับเคลื่อนกลยุทธ์ Energy Symphonics เพิ่มกระแสเงินสด บริหารโครงสร้างเงินทุน บริหารพอร์ตโฟลิโอ รักษาวินัยการเงิน พร้อมอัดงบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เล็งขยายธุรกิจก๊าซฯ โรงไฟฟ้าก๊าซฯ 1,500 เมกะวัตต์ เชื่อนโยบายทรัมป์ 2.0 หนุนตลาดก๊าซธรรมชาติบูม
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ผู้นำด้านพลังงานที่หลากหลาย เปิดเผยว่า การสร้างโอกาสการเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจของบ้านปูในปี 2568 มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ Energy Symphonics ด้วย 4 แนวทางในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ Energy Symphonics ซึ่งประกอบด้วย 1.การดำเนินงานและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสดและมูลค่าของธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI และการลดต้นทุนในธุรกิจเหมือง 2.การบริหารโครงสร้างเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษาระดับหนี้และทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับการเติบโตและผลประกอบการที่ดี

3.การบริหารพอร์ตโฟลิโอเชิงกลยุทธ์ โดยเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่จะมาสร้างคุณค่าให้บริษัทฯ ในระยะยาว เช่น การสร้างการเติบโตของธุรกิจที่ครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าของก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ และ 4.การบริหารจัดสรรเงินทุนอย่างมีวินัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น
“เราประเมินกระแสการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อทิศทางด้านพลังงานของโลกอย่างรอบด้าน รวมถึงนโยบายและแผนพลังงานในประเทศยุทธศาสตร์ ในปีนี้เรามุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงและการปรับโครงสร้างอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอย่างสมดุลที่สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ Energy Symphonics จะทำให้บ้านปูเป็นบริษัทพลังงานที่แตกต่างที่เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ ไปพร้อม ๆ กับการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน”
ปี 68 ทุ่มงบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายสินนท์ กล่าวว่า สำหรับแผนการลงทุนในปี 2568 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย ให้ความสำคัญต่อการดำเนินตามแผน โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะสร้างการเติบโตเชิงกลยุทธ์ทั้งธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ โดยจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ราคาก๊าซ ซึ่งสัดส่วนการลงทุน 60% ใช้สำหรับการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และพัฒนาโครงการ CCUS
อย่างไรก็ตามการลงทุนการพัฒนาโครงการ CCUS ของ BKV Corporation (BKV) ซึ่งบริษัทย่อยของ BANPU ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันได้มีการลงทุนในโครงการ Eagle Ford (อีเกิ้ล ฟอร์ด) ซึ่งคาดว่าจะสามารถกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 90,000 ตันต่อปี และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ในไตรมาส 1/2569


สำหรับในสัดส่วน 20% ใช้ลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงาน เน้นลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะเสริมการทำงานระหว่างระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) โดยในขณะนี้บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการแบตเตอรี่ฟาร์มแห่งใหม่ 2 โครงการ ในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์ชั่วโมง ที่คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 2/2571 ร่วมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อสนับสนุนให้พลังงานหมุนเวียนมีความต่อเนื่องยิ่งขึ้น
ขณะที่อีก 20% ใช้ในการลงทุนธุรกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเหมืองนิกเกิลในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีการศึกษาอยู่ 2 ชนิด คือแร่ธาตุที่นำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV Battery) แร่ธาตุใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอลูมิเนียม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ พร้อมกันนี้ยังมีแผนลงทุนระบบ AI และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดคาร์บอนผ่านการใช้พลังงานหมุนเวียนและระบบการจัดการอัจฉริยะ รวมถึงการลงทุนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมอีก 1,500 เมกะวัตต์
แนวโน้มผลประกอบการปี 68

นายสินนท์ กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการปี รายได้จากขายรวมในปี 2568 ของ BANPU คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงหรือดีกว่าปี 2567 รายได้จากการขายรวม 5,148 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากในปี 2568 ช่วงฤดูหนาวในสหรัฐฯ มีอากาศที่หนาวมากกว่าปีก่อน ส่งผลให้การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น
ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติในปีนี้ก็คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.5-4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู จากปี 2567 ราคาลงไปต่ำสุดที่ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อล้านบีทียู BKV มีแผนขยายกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม รวมถึงขยายการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้แล้วยังได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในสหรัฐฯ ที่มีความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในรัฐเพนซิลเวเนีย และรัฐเท็กซัส
ส่วนของธุรกิจถ่านหินในปีนี้ตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินภาพรวมของบ้านปูที่ 45 ล้านตัน จากปี 2567 อยู่ที่ 42 ล้านตัน และตั้งเป้าลดต้นทุนการผลิตให้ได้ 1.5 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งช่วยสนับสนุนผลประกอบการเติบโต ขณะที่ราคาขายถ่านหินก็คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตามธุรกิจถ่านหินบ้านปูจะไม่มีการขยายการลงทุนแล้ว แต่จะเน้นเพิ่มศักยภาพของการผลิตถ่านหินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายสินนท์ กล่าวถึงนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยมองว่า จะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มบ้านปูด้วยที่มีการลงทุนธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ โดยคาดว่าจะทำให้ตลาดก๊าซธรรมชาติกลับมาคึกคักและมีความต้องการใช้มากขึ้นถึงแม้ปริมาณการผลิตจะไม่สอดคล้องกับปริมาณการผลิตก็ตาม ขณะเดียวกันจากความต้องการใช้ LNG ในเอเชียเพิ่มากขึ้นก็เป็นโอกาสในการส่งออก LNG จากสหรัฐฯ มายังประเทศในเอเชียได้เช่นกัน