ผู้ชมทั้งหมด 280
หากพูดถึงบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้ หลายคนต้องนึกถึง “OR” หรือบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน “พีทีที สเตชั่น” กว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ของประเทศไทย ด้วยสัดส่วนราว 35-36% แต่นี่ ยังไม่ใช่จุดพอใจของ OR

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คนใหม่ของ OR ระบุว่า ในปีนี้ OR จะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 2-3% หรือ อยู่ที่ระดับ 38% เหมือนปี 2566 โดยท่ามกลางการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน OR จำเป็นต้องทบทวนว่า มาร์เก็ตแชร์ที่ลดลงไปจากเดิมนั้น หายไปเพราะเหตุใด แต่สิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการคือการปรับปรุงตัวเอง ซึ่งจะต้องไปตรวจสอบดูระบบต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการ และลดต้นทุนต่างๆ โดยเฉพาะโลจีสติกส์ และการใช้พื้นที่ของOR ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยนำข้อมูลต่างๆมาคำนวนร่วมกันเพื่อให้ได้โซลูชั่นที่จะทำให้การใช้บริการเป็นไปอย่างคุ้มค่าสำหรับคนไทยมากที่สุด
“การลดราคาน้ำมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะทำ แต่การใช้ความแข็งแกร่ง จุดแข็งที่มีบูรณาการเพื่อสร้างความสนใจ และดึงลูกค้าเข้าสู่สถานีบริการเป็นเรื่องสำคัญกว่า ฉะนั้น หากมีแรงกดดันให้ลดราคาน้ำมัน ที่แรกที่จะดำเนินการ คือ การสื่อความร่วมกัน เพราะไม่เชื่อว่าการลดราคาจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่คนไทยควรตระหนักถึงการประหยัดน้ำมันจะดีกว่า เพราะไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน”

โดยแนวทางผลักดันการเติบโตของ OR นั้น ยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ “Empowering All toward Inclusive Growth” หรือ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน” ที่มุ่งเสริมความเข้มแข็งใน 3 พันธกิจสำคัญ ดังนี้
1.Seamless Mobility มุ่งเสริมความเป็นผู้นำในธุรกิจน้ำมัน ผ่านการขยายเครือข่ายสถานีบริการและเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาสู่พลังงานทางเลือก เช่น สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ และการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ โดยใช้กลยุทธ์ Thailand Mobility Partner ในการเปลี่ยนผ่านจากธุรกิจน้ำมัน (Fossil Based) สู่ธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน (New Energy-Based)
“ธุรกิจน้ำมัน จะมีมาร์จิ้นไม่มากอยู่แล้ว ดังนั้นต้องลดต้นทุนต่างๆให้มาก ส่วนการเปลี่ยนผ่านสู่รถEV ยังไงก็ต้องไปถึงตรงนั้น เพราะประสิทธิภาพของEV มีมากกว่ารถICE มาก และการปลดปล่อยมลพิษ EV น้อยกว่า ICE แต่ICE มีข้อดี คือคนไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานมากนัก แต่ยังไงก็ตาม EV ก็ต้องมา OR จึงสร้างนวัตกรรมใหม่คือ OR Space เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านจากสถานีบริการน้ำมันธรรมดา ไปเป็นสถานีบริการที่ให้บริการกับEV โดยเฉพาะ”

อย่างไรก็ตาม สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ ที่เดิม OR ตั้งเป้าหมาย จะมีหัวจ่ายประเภท DC อยู่ที่ 7,000 หัวจ่าย ภายในปี 2573 นั้น ล่าสุด ยอดการเติบโตของรถEV ต่ำกว่าที่ภาครัฐคาดการณ์ไว้ ฉะนั้น OR ที่ปรับลดเป้าหมายลงเหลือ 5,000 หัวจ่ายภายในปี 2573 โดยปัจจุบัน OR มีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Station PluZ อยู่ที่ประมาณ 1,000 แห่ง ซึ่งในแต่ละปีจะใช้เงินลงทุนรวมประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ ตั้งเป้าหมายขยายสถานีฯต่อเนื่อง แต่คาดว่าเม็ดเงินลงทุนจะลดลงตามต้นทุนเทคโนโลยีที่ถูกลง และยังคงเป้าหมายว่าธุรกิจนี้จะคืนทุนภายในระยะเวลา 7 ปี
นอกจากนี้ ในส่วนของศูนย์บริการรถยนต์ FIT Auto จะต้องมีการปรับปรุงใหม่ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปให้มากขึ้น โดยจะต้องนำฐานข้อมูลจากแอปพลิเคชัน xplORe (เอ็กซ์พลอร์) ที่เป็น Super App เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมดัวย

2.All Lifestyles มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของ Café Amazon ตลอด Value Chain พร้อมแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเริ่มศึกษาธุรกิจ Health & Wellness ที่มีโอกาสเติบโตสูง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์กระจายพอร์ทการลงทุน (Diversify Portfolio) โดย
“หลังจากที่ OR ได้ยุติการดำเนินธุรกิจของ “เท็กซัส ชิคเก้น” ไปแล้ว และทำให้เกิดพื้นที่ว่างกว่า 90 แห่ง ฉะนั้นในอนาคตจะต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเข้ามาให้บริการแทนที่แก่ลูกค้าแน่นอน เพื่อใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
ขณะที่การเติบโตของ OR ในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสร้างกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) ระดับ 10% ต่อปีนั้น ทาง OR จะยังต้องยึดหลักการเติบโตของ ปตท.ที่จะเห็นว่าในทุกช่วงวิกฤติมักจะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Inorganic Growth หรือ การเติบโตจากภายนอก ฉะนั้นการต้องการเติบโตแบบก้าวกระโดด ก็จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องของการควบรวมและซื้อกิจการ(M&A) ควบคู่ไปกับการ synergy ต่างๆ รวมถึงการนำเรื่องของ Digitalization เข้ามาทำให้เกิด synergy ทั้ง oil และ non oil

3.Global Market ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยมีแผนลงทุนเพื่อสร้างความเข้มแข็งในโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกัมพูชาที่เปรียบเสมือนบ้านหลังมที่สองของ OR
“วันนี้ ประเทศมีการผลิตน้ำมันรวมเป็นล้านลิตร จึงต้องส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน ดังนั้น OR พร้อมที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Oil Hub แห่งภูมิภาค ด้วยการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจร ทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายด้านน้ำมันระหว่างประเทศ และการสร้าง New Magnet เพื่อยกระดับระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การเติมเต็มโอกาส เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจ OR จะมุ่งเน้นการใช้ Digitalization & Innovation เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยที่ผ่านมา OR ถือเป็นบริษัทแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำระบบ SAP S/4 HANA มาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันและค้าปลีก พร้อมพัฒนา Control Tower Dashboard เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและตัดสินใจทางธุรกิจ
“แผน Digitalization คาดว่า จะมีโรดแมปที่ชัดเจนออกมาในช่วง ไตรมาส1 ปีนี้ โดยจะอยู่บนหลักการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อให้เกิดการลดต้นทุน สร้างโอกาสหารายได้ใหม่ให้กับOR”

อย่างไรก็ตาม OR จะเดินหน้าขยายการลงทุนตาม แผนการลงทุน 5 ปี (ปี 2568 -2572) จำนวน 60,404.6 ล้านบาท ซึ่งแบ่งตามกลุ่มธุรกิจหลัก ดังนี้
ธุรกิจ Mobility มีสัดส่วน 52.8% อยู่ที่ 31,877 ล้านบาท ,ธุรกิจ Lifestyle มีสัดส่วน 25.7% อยู่ที่ 15,502.7 ล้านบาท ,ธุรกิจ Global มีสัดส่วน 18% อยู่ที่ 10,846.9 ล้านบาท และธุรกิจInnovation & New Business มีสัดส่วน 3.5% อยู่ที่ 2,178 ล้านบาท
ขณะที่ปี 2568 ที่จัดสรรงบลงทุน รวมอยู่ที่ 18,886.9 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในธุรกิจ Mobility อยู่ที่ 7,656.7 ล้านบาท ,ธุรกิจ Lifestyle อยู่ที่ 7,280.4 ล้านบาท ,ธุรกิจ Global อยู่ที่ 2,771.8 ล้านบาท และธุรกิจInnovation & New Business อยู่ที่ 1,178 ล้านบาท
นอกจากนี้ OR ยังได้จัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้าอีกจำนวน 5,081.0 ล้านบาท โดยหลักเพื่อการขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ ทั้งในและต่างประเทศให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ OR
“ที่ผ่านมา รายได้ของ OR จะเติบโตตาม GDP ของประเทศ อยู่ที่ระดับ 2-3% และมีบางปีโต 3-4% ในปีนี้ก็คาดว่า รายได้จะยังเติบโตตาม GDP และในเร็วๆ นี้จะเปิดตัวธุรกิจใหม่จาก Next Amazon ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตและอยู่ได้เหมือนกับ Amazon ที่ปัจจุบันต่อยอดเติบโตได้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นแบรนด์สินค้าใหม่ที่มีเป้าหมายความสำเร็จเหมือนกับ Amazon”

นอกจากนี้ หม่อมหลวงปีกทอง ยังเน้นย้ำถึงการต่อยอดนโยบาย OR SDG ที่มุ่งสร้างสมดุลในทุกมิติ ทั้ง ด้าน S: Small การสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ด้าน D: Diversified การลงทุนในธุรกิจที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของ OR และ ด้าน G: Green การดูแลสิ่งแวดล้อม
ที่ผ่านมา OR ได้สร้างผลงานที่โดดเด่น อาทิ การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนผ่านโครงการไทยเด็ด การสนับสนุนผู้เปราะบางทางสังคมผ่าน Café Amazon for Chance รวมถึงการติดตั้ง Solar Roof ในสถานีบริการ PTT Station ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมตั้งเป้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2030 และ Net Zero ในปี 2050
“การขับเคลื่อนองค์กรในยุคที่มีความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จะต้องสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปรับแนวความคิดการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการ ‘They grow We grow’ โดยจะสร้างความเชื่อมั่นและการสื่อสารที่ใกล้ชิดผ่านโครงการ ‘CEO on tour’ เพื่อพบปะพูดคุยกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พนักงาน พันธมิตร นักลงทุน และสื่อมวลชน และนี่คือความท้าทายที่ตัดสินใจก้าวสู่ตำแหน่ง CEO OR”

ทั้งนี้ หม่อมหลวงปีกทอง ได้เปิดตัว Facebook Fanpage “ต้น ปีกทอง – Tone Peekthong” อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลอีกด้วย