ผู้ชมทั้งหมด 94
กฟภ. เตรียมฟ้องผู้ประกอบการพาดสายสื่อสารเสาไฟฟ้า ชี้มีค่าสินไหมวงเงินรวม 1.3 หมื่นล้าน พร้อมขีดเส้น 45 วันให้รื้อถอนสายสื่อสาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เร่งตรวจสอบและเรียกเก็บค่าพาดสายสื่อสารของหน่วยงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจบนเสาไฟฟ้าของ PEA ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 นายประสิทธิ์จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แถลงข่าวการแก้ไขปัญหาการพาดสายสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก PEA ณ ห้องรัตนโกสินทร์ ชั้น 23 อาคาร 4 สำนักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
นายประสิทธิ์ จันทร์ประสิทธิ์ รองผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวว่า ปัญหาเกี่ยวกับการพาดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าของ PEA โดยไม่ได้รับอนุญาต PEA ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบกิจการฯ โดยตลอด เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างรอบคอบและรัดกุม ปัจจุบันมีความต้องการใช้งานด้านการสื่อสารการขยายตัวเป็นอย่างมาก ประกอบกับผู้ประกอบกิจการฯ ดำเนินการโดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจ ในขณะที่เสาไฟฟ้า ไม่สามารถรองรับสายสื่อสารปริมาณมาก และ PEA ไม่สามารถอนุญาตให้พาดสายเพิ่มเติมได้ เป็นเหตุให้ผู้ประกอบกิจการฯ พาดสายโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับแนวทางในการดำเนินการกับผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมที่พาดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต หาก PEA ตรวจพบจะเรียกเก็บค่าสินไหมทดแทนจากผู้ประกอบกิจการฯ ดังกล่าว พร้อมแจ้งให้ดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องหรือกรณีที่ PEA ไม่สามารถอนุญาตให้พาดสายได้ ผู้ประกอบการฯ ต้องรื้อถอนสายสื่อสารออก ทั้งนี้หากผู้ประกอบกิจการฯ ที่กระทำการพาดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าไม่ดำเนินการรื้อถอนหรือขออนุญาตให้ถูกต้องหรือชำระค่าสินไหมทดแทนให้ครบถ้วน PEA จะรวบรวมเอกสาร หลักฐาน เพื่อดำเนินกระบวนการตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและรื้อถอนสายสื่อสารดังกล่าวออก โดยขณะนี้ PEA ได้มีการแจ้งไปยังผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่กระทำการพาดสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว โดยมีระยะเวลาที่จะดำเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมาย ภายใน 45 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้ง ซึ่งหากยังไม่ดำเนินการตามที่แจ้ง ทาง PEA จะดำเนินการฟ้องร้องตามขั้นตอนในทุกกรณี
อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน PEA ได้รับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนทั้งที่เกิดจากการชนะคดีความ และผู้ประกอบกิจการฯมาชำระเองรวมจำนวนกว่า 1,467 ล้านบาท และรอการชำระเงินตามคำพิพากษาเป็นเงิน 64 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมาย เป็นเงิน 13,552 ล้านบาท ซึ่งจะนำไปสู่การฟ้องคดีและดำเนินการบนพื้นฐานของความถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม ตรวจสอบได้ และยึดหลักกฎหมาย เพื่อความถูกต้อง