ผู้ชมทั้งหมด 62
EGCO คาดผลประกอบการไตรมาส4 ปี67 ได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจไฟฟ้าที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ขณะที่ปี68 ธุรกิจโตต่อเนื่อง รับรู้รายได้เพิ่มจากโครงการ APEX ทยอยCOD อีก 8 โครงการ “หยุนหลิน” จ่ายไฟเต็มปี พร้อมตั้งงบ 3 หมื่นลบ.ต่อปี ลุยลงทุนช่วง 3 ปี(ปี 2568-2570)
ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยในงาน Oppday Q3/2024 ของ EGCO เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2567 โดยระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส4 ปี2567 คาดว่า จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ทั้งในพอร์ตโฟลิโอโรงไฟฟ้าคัมแพซ, โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และโครงการ APEX ที่คาดว่า ผลประกอบการน่าจะดีขึ้น จากอัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้น ตามความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้นของธุรกิจ AI และดาต้าเซ็นเตอร์ ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ในสปป.ลาว ก็คาดว่า ผลประกอบการไตรมาส 4 จะดีขึ้น จากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ส่วนโรงไฟฟ้าพาจู ในเกาหลีใต้ ก็เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นเช่นกัน
ส่วนโรงไฟฟ้าในประเทศไทย ยังต้องติดตามดูว่า โรงไฟฟ้าใดที่เดินเครื่องการผลิตครบกำหนดแล้วก็อาจต้องหยุดพักการเดินเครื่องลงในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่า จะไม่มีการบันทึกรายการที่เป็นลบเหมือนกับไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีผลกระทบจากความล่าช้าของโครงการหยุนหลิน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานของ EGCO ในปี 2568 คาดว่า จะได้รับประโยชน์จากการก่อสร้างโครงการของ APEX แล้วเสร็จอีก 8 โครงการ กำลังผลิตรวม 1,230 เมกะวัตต์ ที่จะเริ่มทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์(COD) ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี2567- ปี2568 ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ และเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในพอร์ตของบริษัทเติบโตขึ้น
ขณะที่การลงทุนในโครงการ CDI ในอินโดนีเซีย ที่ EGCO เข้าถือหุ้น 30% มูลค่าราว 200 ล้านดอลลาร์ฯ ที่เป็นการลงทุนธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานนั้น ก็ขยายการเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การติดตั้งกังหันลงในทะเล เพื่อ ของโครงการหยุนหลิน ในไต้หวัน เพื่อผลิตไฟฟ้าครบทั้งหมด 80 ต้น เรียบร้อยแล้ว คาดว่า ในปี 2568 จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปี หรือสร้างกระแสเงินสดให้ EGCO เฉลี่ย 2,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 5 ปีแรกของการดำเนินโครงการ
อีกทั้งโครงการเคซอน(QOL) ในฟิลิปปินส์ ซึ่งสัญญาฉบับแรก จะสิ้นสุดลงในเดือน พ.ค.ปี2568 นั้น ล่าสุด การเจรจาเพื่อต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้า มีความคืบหน้าถึง 90% คาดว่า จะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า โดยเบื้องต้น เจรจาซื้อขายไฟฟ้าที่ 400 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ในช่วงไตรมาส 4 หรือ เดือน ต.ค.ปี 2568 เป็นต้นไป
ขณะที่ การขายขายหุ้นทั้งหมด 49% โรงไฟฟ้าก๊าซฯ RISEC ในสหรัฐฯ ให้ SHELL คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และรับรู้รายได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2568
ทั้งนี้ EGCO ได้ทบทวนและปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะ 3 ปี (ปี 2568-2570)โดยมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรอย่างยั่งยืน การบรรลุเป้าหมายองค์กรคาร์บอนต่ำ และการปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยยังมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า รองรับช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผ่านการลงทุน 2 รูปแบบหลัก ทั้ง M&A และ Greenfield ตลอดจนแสวงหาโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง โดยต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว 8 ประเทศ ด้วยการตั้งงบลงทุนปีละ 30,000 ล้านบาท
รวมถึง กำหนดเป้าหมายเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำไว้ 3 ระยะ ได้แก่ เป้าหมายระยะสั้น ภายในปี 2573 เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตทั้งหมด เป้าหมายระยะกลาง ภายในปี 2583 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และเป้าหมายระยะยาว ภายในปี 2593 จะบรรลุการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net Zero Carbon)
ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 7,019 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,463 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่งเซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา